วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เมื่อ “วัคซีน HPV” เหมาะกับสาวบริสุทธิ์ที่สุด

0 ความคิดเห็น
เมื่อการสำรวจประชากรหญิงทั่วโลก พบว่า กว่า 300,000 ราย ต้องเสียชีวิต เพราะโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ประสบกับโรคร้ายนี้มักอาศัยอยู่ในภูมิภาคแถบเอเชียแปซิฟิก และด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการประชุม The 1st Symposium on HPV Vaccination in the Asia Pacific Region โดยสถาบันวัคซีนนานาชาติ (International Vaccine Institute หรือ IVI) ที่จัดขึ้น ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

มะเร็งปากมดลูกอันดับสองรองจากเต้านม ดร. John Clemens ประธานสถาบันวัคซีนนานาชาติและผู้เชี่ยวชาญการประเมินผลของวัคซีนในประเทศที่กำลังพัฒนา ให้ข้อมูลว่า จากการรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบประชากรที่เสียชีวิต เพราะโรคติดเชื้อมากขึ้นทุกวัน โดยประเทศที่พัฒนาแล้วมีคนเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้เพียง 10% ขณะที่อีก 90% พบมากในประเทศที่ยังไม่พัฒนาและกำลังพัฒนา ดังนั้นทางสถาบันIVI จึงต้องผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคมะเร็งปากมดลูกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ดร.นพ. Xavier Bosch ผู้บริหาร Cancer Epidemiology and Registration Unit Catalan Institute of Oncology จากบาร์เซโลนา ประเทศสเปนเสริมว่า เชื้อไวรัส HPV (Human Papillomevirus) คือ ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเชื้อไวรัสตัวนี้จะติดต่อทางผิวหนังเท่านั้น ไม่สามารถติดเชื้อผ่านกระแสเลือดได้ “โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่พบมากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ในกลุ่มโรคมะเร็งทั้งหมด แต่เป็นอันดับที่ 2 สำหรับโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในผู้หญิง รองจากโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งมีผู้หญิงกว่า 80%เป็นเหยื่อของโรคนี้อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมทางเพศ เพราะการร่วมเพศกันในแต่ละครั้ง ผู้หญิงจะได้รับเชื้อเอชพีวีมาอย่างน้อยหนึ่งชนิด ทั้งนี้โดยเฉลี่ยแล้วในทุกๆ 2 นาทีจะมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกทั่วโลกเสียชีวิต 1 คน” อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจพบว่า ช่วงอายุที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี นั่นคือ กลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี ซึ่งทั่วโลกพบผู้ติดเชื้อแล้ว ประมาณ 9.2 ล้าน หรือ 74% ขณะที่อายุโดยเฉลี่ยของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปาดมดลูกนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 57 ปี ส่วนโรคมะเร็งอื่นๆนั้น ผู้ป่วยจะมีอายุโดยเฉลี่ยที่ 72 ปีเท่านั้น

ทั้งนี้ จากประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้บวกกับขั้นตอนการผลิตและต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ทำให้ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นทั่วทวีปเอเชีย นั่นคือ ความสามารถทางด้านการงานกับความต้องการวัคซีนที่ไม่สอดคล้องกัน กล่าวคือ จากการเปิดตัววัคซีนเอชพีวีในประเทศแทบเอเชียแปซิฟิก พบว่าหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือไทย เอง ประสบกับปัญหาราคาแพง ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถรับวัคซีนตัวนี้ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งในเรื่องนี้แม้ว่าทางประเทศอินเดียเองจะมีการจัดการลดต้นทุนโดยการผลิตตัวยาบางส่วนในประเทศของเขาเอง แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถครอบคลุมทั่วถึงทั้งประเทศ จึงส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกยังเพิ่งสูงขึ้นเป็นระยะๆ

ดร.Linda Eckert นักวิจัยวัคซีน จาก สถาบันวัคซีนนานาชาติของ WHO HQ จากกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผยว่า ในเรื่องของราคานั้น ยอมรับว่า เป็นปัญหาสำหรับหลายๆ ประเทศ แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า จุดประสงค์ของนักวิจัยทุกคนและองค์กรทุกองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ต่างมีความเห็นที่ตรงกันคือผลิตวัคซีนขึ้นมาเพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก แต่การผลิตย่อมมีต้นทุนเกิดขึ้นซึ่งต้นทุนของวัคซีนค่อนข้างสูงดังนั้นราคาที่ตั้งขึ้นมาจึงเป็นราคาที่สมเหตุสมผล “โดยทั่วไปแล้ว ราคาของวัคซีนนั้นขึ้นอยู่กับบริษัทยาแต่ละประเทศ โดยจะฉีดวัคซีนนี้เพียง 3 ครั้ง ซึ่งบางประเทศตั้งราคาอยู่ที่ประมาณ 20 ดอลลาร์/โดส แต่ราคาของแต่ละประเทศก็จะต่างกันออกไป เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้งนี้ วิธีหนึ่งที่จะช่วยคนลดค่าใช้จ่ายวิธีหนึ่ง นั่นคือ หากคนไหนไม่สะดวกในการรับวัคซีนเอชพีวี อาจเข้ารับการตรวจภายใน (Pep Smear) เพื่อหาเชื้อก่อนก็ได้ ซึ่งผู้หญิงควรตรวจเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว”

เสียงสะท้อนจากแพทย์ไทย ส่วนทางด้านของประเทศไทยนั้น รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า จากการที่มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดสำหรับผู้หญิงไทย ซึ่งตัวเลขคร่าวๆ ของผู้ป่วยรายใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 6,000 กว่าราย และในแต่ละปีผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเสียชีวิตประมาณ 3,000 กว่ารายต่อปี หรือหากเฉลี่ยต่อวัน ตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 7 ราย/คน “เมื่อก่อนเรายังไม่ทราบสาเหตุว่าโรคมะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร แต่ปัจจุบันนี้เราทราบแล้วว่า โรคมะเร็งปากมดลูกนั้นเกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส Human Papillomevirus (HPV) เลยทำให้เป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ แต่แม้จะรู้สาเหตุของการเกิดโรค แต่ที่เป็นอันดับ1อยู่เพราะโรคมะเร็งนั้น ในช่วงเริ่มแรกจะยังไม่มีอาการนานกว่า 10-15 ปี ซึ่งกว่าเชื้อไวรัสจะกลายเป็นมะเร็งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอายุประมาณ 30-40 ปี ทำให้กลุ่มเสี่ยงสูงที่สุดคือกลุ่มอายุอายุ 35-45 ปี โดยกลุ่มเหล่านี้ ส่วนหนึ่งมาจากการรับเชื้อตั้งแต่วัยรุ่นคือการมีเพศสัมพันธ์เร็ว”


อย่างไรก็ดี เมื่อเชื้อเอชพีวีสามารถติดต่อกันส่วนใหญ่ทางเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิงจึงเป็นแรงเสริมหรือกลายเป็นอัตราเร่งให้วัยรุ่นมีโอกาสรับเชื้อสูงมากขึ้นไปด้วย ซึ่งอาการก่อนจะเข้าสู่โรคมะเร็งปากมดลูกนั้น จะเรียก ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง โดยจะทราบจากการตรวจภายในที่ปากมดลูกที่ควรตรวจปีละครั้ง เพื่อดูเซลล์ของปากมดลูก “นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงไทยเป็นโรคนี้กันเยอะเพราะหากเทียบกับผู้หญิงอเมริกันแล้ว พวกเขาตรวจภายในกันประมาณ 80% แต่ไทยเรา 10-15% เท่านั้น ซึ่งการที่ผู้หญิงอาย เขิน หรือกลัวเจ็บนี่เอง จึงทำให้ไม่ทราบว่าเป็น พอรู้อีกทีก็สายไปแล้ว ดังนั้น หากกล้าที่จะตรวจในระยะแรกเขาก็สามารถหายได้”

ส่วนอาการของโรคมะเร็งปากมดลูกนั้น รศ.นพ.วิชัย อธิบายว่า ในระยะลุกลามจะมีตกขาวมาก มีกลิ่น และมีเลือดออก อีกทั้งยังมีอาการผิดปกติในระบบอื่นๆ ได้ เนื่องจากมะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ขับถ่ายผิดปกติ หรือ ปวดตามตัว “เมื่อทราบสาเหตุของการเกิดโรค และมีวัคซีนป้องกันโรคโดยเฉพาะแล้ว เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส มี2ชนิด แบ่งออกเป็นวัคซีนที่ฉีดป้องกันโรค 2 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 16 และ 18) ซึ่งเป็นเชื้อเอชพีวีกลุ่มเสี่ยงสูงที่เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดโรคมะเร็งถึง 70% ขณะที่วัคซีนที่ฉีดป้องกันโรค 4 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 6, 11, 16 และ 18) จะครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงต่ำที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ด้วย”

วัคซีนนี้เพื่อผู้หญิงวัยไหน จากการที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น ทำให้หลายคนเกิดความสับสนว่า แท้ที่จริงแล้ววัคซีนนี้เหมาะกับวัยใดกันแน่ ซึ่ง รศ.นพ.วิชัยแนะว่า สำหรับคนไทยแล้ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยารับรองไว้กลุ่มที่น่าฉีดวัคซีนเอชพีวีมากที่สุดคือกลุ่มในช่วงอายุ 9-26 ปี ซึ่งวัคซีนจะมีประสิทธิภาพดีที่สุดต่อเมื่อผู้หญิงคนนั้นยังไม่เคยรับเชื้อมาก่อน หมายถึงยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์แม้แต่ครั้งเดียว ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็สามารถฉีดได้ แต่หากมีอายุเกิน 55 ปีขึ้นไปโอกาส อาจไม่ต้องฉีด เพราะโอกาสที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้นจะน้อยลง เนื่องจากการรับเชื้อเอชพีวีนั้น เป็นเชื้อที่มีการติดต่อล่วงหน้าหลายปี”

“ผลวิจัยล่าสุดจากทั่วโลกรวมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย พบว่า วัคซีนชนิดป้องกัน 4 สายพันธุ์นั้น ผู้หญิงที่มีอายุ 45 ปี ก็ยังได้ประโยชน์จากวัคซีนนี้เช่นกัน ซึ่ง ณ ตอนนี้ทางประเทศออสเตรเลีย ได้ขยายช่วงอายุไปถึง 45 ปีแล้ว โดยวัคซีนประเภท 2 สายพันธุ์นั้นหลังจากฉีดครั้งแรกแล้ว จากนั้น 1 เดือนจะฉีดเข็มที่ 2 และเดือนที่ 6 ฉีดเข็มที่ 3 ขณะที่วัคซีนประเภทสี่สายพันธุ์นั้นหลังจากฉีดครั้งแรกแล้ว จะฉีดเข็มที่ 2และ3ในอีก 2 เดือนและ 6 เดือนตามลำดับ” ส่วนเรื่องราคาวัคซีนในเมืองไทยนั้น แม้จะยังไม่มีนโยบายหางบประมาณ ฉีดฟรีสำหรับเด็กในช่วงอายุ 11-12 เฉกเช่น สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียแต่ไทยเองก็ไม่ใช่ประเทศที่ยากจน จึงยังพอมีกลุ่มคนที่สามารถฉีดวัคซีนตัวนี้ได้ ซึ่งกลุ่มคนที่มีอายุ 26ปีขึ้นไปจะฉีดกันเยอะเพราะอาจมีคนใกล้ตัวเป็น เกิดความกลัวและมีความรู้มากขึ้น

อีกทั้งกลุ่มนี้ คือ กลุ่มคนทำงานจึงมีเงินพอที่จะตอบสนองความต้องการได้ โดยราคาวัคซีนนั้นอยู่ประมาณเข็มละ 4,000 บาท แต่ตอนนี้อาจลดเหลือ 3 เข็ม ประมาณ 6,000-7,000 บาท ซึ่งหากเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนไทยก็ยังถือว่าราคาสูงอยู่ตามเคย

“แม้ว่าเชื้อเอชพีวีจะติดต่อได้จากทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะขณะร่วมเพศและมีหลายคู่นอนซึ่งเสี่ยงถึง 80% ในการติดเชื้อในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต แต่คนที่ไม่สำส่อนก็สามารถติดเชื้อนี้ได้ถึง 47% เช่นกัน เมื่อไวรัสนั้นอยู่ตามผิวหนังที่เปียกชื้น ดังนั้นการทำออรัลเซ็กซ์ หรือการร่วมเพศวิธีต่างๆ ก็จะได้รับเชื้อนี้ แต่การทำออรัลเซ็กซ์นั้นจะได้มีเชื้อเอชพีวีในร่างกายน้อยกว่าการมีเพศสัมพันธ์แบบปกติ”

รศ.นพ.วิชัย กล่าว อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.วิชัย เผยว่า เชื้อเอชพีวีไม่ได้ส่งผลร้ายแค่เพียงผู้หญิงเท่านั้น เพราะผู้ชายกลุ่มพิเศษ ที่ได้รับเชื้อเอชพีวีก็มีโอกาสเป็นมะเร็งเช่นกัน ซึ่งเชื้อนี้จะทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทวารหนัก อันเกิดจากเชื้อเอชพีวีสายพันธ์ 16-18 มากถึง 70-80% ทีเดียว “ผู้ป่วยมะเร็งที่ทวารหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า ซึ่งก้นนั้นไม่ต่างจากปากมดลูกเลย เพราะจากการวิจัยเรื่องวัคซีนเอชพีวีกับผู้ชาย ได้มีการสำรวจผู้ชาย 4,000 คน แบ่งเป็นเกย์ 800 กว่าคน ผู้ชายแท้อีก 3,200 กว่าคน พบว่า วัคซีน 4 สายพันธ์สามารถป้องกันการติดเชื้อเชื้อเอชพีวีได้”

“ในอเมริกาเอง แม้ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะลดลงไปมาก โดยอยู่ที่ประมาณ 5:100,000 คน ขณะที่ไทยอยู่ในอัตรา 24:100,000 คน แต่ตอนนี้ในอเมริกามีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งก้น โดยที่ยังไมติดเชื้อเอชไอวี อยู่ที่ประมาณ 35:100,000 คน แต่หากติดเชื้อเอชไอวีด้วยจะเป็นมะเร็งก้นสูงถึง75:100,000 คน”

อย่างไรก็ดี รศ.นพ.วิชัย กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า หากใครประสบปัญหาทางด้านการเงิน และไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ ก็มีทางเลือกอื่นๆ อีก เช่น การลดพฤติกรรมเสี่ยง อย่ามีเพศสัมพันธ์เร็วจนเกินไป หรือมีคู่นอนหลายคน และการตรวจคัดกรองมะเร็ง หาเซลล์ระยะเริ่มต้น โดยการตรวจภายในเป็นประจำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ลดอัตราเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกได้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
30 กรกฎาคม 2552 07:28 น.
read more “เมื่อ “วัคซีน HPV” เหมาะกับสาวบริสุทธิ์ที่สุด”

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

0 ความคิดเห็น

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเองการทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก
1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า

2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่) ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง
โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วน ที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อยทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทาน แคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

ที่มา : heyhaparty.blogspot.com
read more “ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย”

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สถานที่สกปรกที่คุณมองข้าม !!

0 ความคิดเห็น
เมื่อถามถึงวิธีการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงห่างไกลโรค บางคนแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ในขณะที่บางคนผลักภาระให้คุณหมอรักษาตามอาการ... แต่กลับมีคนส่วนน้อยที่จะเห็นความสำคัญถึงสุขอนามัยของสิ่งรอบตัวที่เรากิน-ดื่ม-ใช้ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคที่อาจเป็นสาเหตุสำคัญให้คุณเจ็บออดๆ แอดๆ ตลอดปี เช่น ภูมิแพ้ ตาแดง หวัด ท้องเสีย เป็นต้น และสถานที่สกปรกที่คนมองข้าม ได้แก่

อ่างล้างจานที่ห้องครัว Kelly Reynolds นักจุลชีววิทยาสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยอาริโซนา กล่าวว่า อ่างล้างจานในห้องครัวสกปรกยิ่งกว่าห้องน้ำเสียอีก อย่างบริเวณท่อน้ำทิ้งเฉลี่ยมีแบคทีเรีย 500,000 ตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟองน้ำล้างจาน ที่เต็มไปด้วยเศษอาหารหรือคราบไขมัน ถ้าไม่ทำความสะอาดหรือตากให้แห้ง ฟองน้ำสุดสะอาดจะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรียอย่างดี เช่น E.coli, Salmonella หรือ Campylobacter ที่เป็นสาเหตุทำให้คุณท้องเสีย ดังนั้นวิธีป้องกันไม่ให้เชื้อโรคสะสมที่ดีที่สุดคือ การล้างและทำความสะอาด อ่างล้างจานหลังใช้งานทุกครั้ง บีบฟองน้ำให้แห้ง ใช้ผ้าแห้งเช็ดบริเวณที่น้ำขังและที่พักวางจานชาม

ห้องน้ำสาธารณะ ห้องน้ำเป็นสถานที่ถ่ายทุกข์ที่สะสมเชื้อโรคและกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ง่าย ยิ่งเป็น “ห้องน้ำสาธารณะ” ด้วยแล้วระดับของความสกปรกก็ยิ่งมาก ทั้งนี้จุดสกปรกที่คุณกังวลว่าจะติดเชื้อโรคไม่ใช่บริเวณที่รองนั่งอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นสายชำระ คันโยกกดน้ำและลูกบิดหรือมือจับประตูนอกจากนี้การกดชักโครกแต่ละครั้งยังเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคสู่อากาศได้อีกด้วย! ด้วยเหตุนี้จึงขอแนะนำให้ปิดฝารองนั่งก่อนการกดชักโครก หลังทำธุระเสร็จให้ล้างมือทุกครั้งด้วยสบู่ ซึ่งสามารถขจัดเชื้อโรคที่อันตรายได้มากกกว่า 80% ทีเดียว

จุดบริการน้ำดื่ม จุดบริการน้ำดื่ม หรือเครื่องทำน้ำเย็นสาธารณะอาจไม่สะอาดและปลอดภัยอย่างที่คิด เนื่องจากการขาดการบำรุงรักษาและตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างถูกต้อง ล่าสุดทางกรุงเทพมหานครได้สำรวจและพบว่า น้ำดื่มที่กดจากเครื่องทำน้ำเย็นในโรงเรียนเขตกรุงเทพฯ มีสารตะกั่วปนเปื้อนเกินมาตรฐาน! และที่น่ากังวลคือ ร่างกายเด็กสามารถดูดซึมสารตะกั่ว (มาจากวัตถุที่ใช้เชื่อมประกอบตู้โลหะ) ได้มากกว่าผู้ใหญ่ประมาณ 40 % ดังนั้นถ้าได้รับในปริมาณมากจะส่งผลทำลายสมองและพัฒนาการของเด็กได้ ทางกรุงเทพมหานครจึงจัดทำโครงการ “โรงเรียนกรุงเทพมหานคร น้ำดื่มปลอดสารตะกั่ว” เพื่อทำการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขหรือซ่อมแซมเครื่องทำน้ำเย็นเพื่อสุขภาพเด็กและบุคลากรภายในโรงเรียนทันที จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราต้องสำรวจเครื่องกรองน้ำและเครื่องทำน้ำเย็นที่บ้านหรือที่ทำงานว่าภาชนะบรรจุน้ำสะอาดหรือไม่ ถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรองน้ำหรือยัง และหมั่นสังเกตว่าน้ำมีรสชาติหรือกลิ่นผิดปกติหรือไม่

ตะกร้าช้อปปิ้ง-ตู้ ATM คุณมั่นใจมากน้อยเพียงใดว่า ผู้ให้บริการทุกรายจะทำความสะอาดตะกร้าช้อปปิ้งและรถเข็นในซูเปอร์มาร์เกตเป็นประจำ เนื่องจากมีคนใช้บริการเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากคนที่ใช้ก่อนหน้าคุณป่วย ก็อาจแพร่กระจายเชื้อโรคมาสู่คุณอย่างง่ายดายจากการสัมผัสหูหิ้วตะกร้าหรือด้ามจับรถเข็น ที่อาจเปรอะสารคัดหลั่งพวกน้ำลาย หรือน้ำมูก เช่นเดียวกับการกดรหัสบนแป้นของตู้ ATM ที่มีนักวิจัยชาวไต้หวันตรวจสอบเชื้อโรคพบว่า แต่ละปุ่มมีเชื้อโรคเฉลี่ยประมาณ 1,200 ตัวทีเดียว! ดังนั้นทุกครั้งที่คุณหยิบตะกร้าช้อปปิ้ง หรือกด ATM พยายาหลีกเลี่ยงการใช้มือขยี้ตา จับจมูกหรือปาก เพราะเป็นช่องทางที่เอื้อให้เชื้อโรคแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย และอย่าลืมไปล้างมือหลังจากช้อปปิ้งเสร็จ

กระเป๋าถือสุดหรู หรือสุดสกปรก? ไม่ว่ากระเป๋าจะมีราคาแพงแค่ไหน ก็เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้ทั้งสิ้น Charles Gerba นักจุลชีววิทยาสิ่งแวดล้อม แห่งมหาวิทยาลัยอาริโซนาเคยนำตัวอย่างกระเป๋าถือผู้หญิงไปตรวจพบว่า บริเวณก้นกระเป๋ามีเชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่กว่ามากหมื่นตัว และบางใบก็มีมากถึงล้านตัวทีเดียว! นอกจากนี้กระเป๋าสตางค์ก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีจากธนบัตร หรือเหรียญที่ส่งผ่านมือต่อมือนั่นเอง จากการตรวจสอบพบว่าเชื้ออันตรายที่สะสมอยู่คือ Staphylococcus ที่ก่อให้เกิดตาแดง นอกจากนี้ยังมีเชื้อ Salmonella และ E.coli ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ และถ่ายท้องปะปนมาอีกด้วย! สาเหตุที่มีเชื้อโรคสะสมขนาดนี้ก็มาจากความเคยชินของผู้หญิงที่มักวางกระเป๋าถือไว้ตามที่ต่างๆ เช่น บริเวณอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ โต๊ะอาหาร เก้าอี้และแม้กระทั่งวางไว้บนพื้นก็มี! สาวๆ ได้ยินแบบนี้แล้วต้องทำความสะอาด และซักกระเป๋าใบเก่งเสมอๆ ด้วยนะคะ

สนามเด็กเล่น ในความคิดของเด็ก ความสนุกย่อมสำคัญกว่าความสะอาด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะพบน้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะหรือเลือดปะปนอยู่ตามสนามและเครื่องเล่น! แต่ก็อย่าเพิ่งตระหนกว่าเชื้อโรคเหล่านี้จะแพร่สู่ร่างกายง่ายๆ เพราะหากไม่เผลอสัมผัสหน้า หรือนำเชื้อโรคสู่ร่างกายโดยตรงตามที่กล่าวมา... แต่เด็กมักชอบดูดนิ้วและนำของเล่นเข้าปากเสมอ นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กๆ ป่วยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนามเด็กเล่นในตามห้างสรรพสินค้าที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์ผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามธรรมชาติ รู้แบบนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่พาเด็กๆ ไปเล่นสนามเด็กเล็กตามสวนสาธารณะที่มีต้นไม้และอากาศถ่ายเทสะดวกย่อมดีต่อสุขภาพมากกว่า และอย่าลืมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อทุกครั้งหลังการเล่นด้วย



ฟิตเนสคลับ แทนที่จะได้สุขภาพแข็งแรงจากการออกกำลังกาย คุณอาจล้มป่วยง่ายกว่าเดิม โดยเฉพาะการออกกำลังกายในห้องที่ปิดสนิท ไม่มีอาการถ่ายเท ซึ่งบางแห่งชูจุดขายว่า ยิ่งร้อนยิ่งทำให้เผาผลาญเร็วมากขึ้น แต่คุณรู้หรือไม่ว่านั่นคือแหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดี โดยเฉพาะการใช้เบาะออกกำลังกายที่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อร่วมกัน การใช้เครื่องออกกำลังกาย การใช้ห้องน้ำหรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชื้นแฉะ ที่พื้นผิวเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ดังนั้นเพื่อออกกำลังกายให้สบายใจและมีความสุข ขอแนะนำให้พกผ้าหรือทิชชูเปียกทำความสะอาดอุปกรณ์ออกกำลังกายทุกครั้ง พกรองเท้าเปลี่ยนก่อนย่ำเข้าห้องน้ำ หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

โต๊ะทำงาน เคยมีการสำรวจพบสถิติที่น่าตกใจว่าโต๊ะทำงานสกปรกมากกว่าที่นั่งชักโครกถึง 400 เท่า สิ่งของเครื่องใช้บนโต๊ะทำงานที่จัดว่าสกปรกที่สุดอันดับแรกคือ โทรศัพท์ พบว่ามีเชื้อโรคสะสมอยู่ถึง 21,000 ตัวต่อตารางนิ้ว เพราะบางคนตั้งแต่เข้าทำงานไม่เคยเช็ดหรือทำความสะอาดหูโทรศัพท์เลย! ส่วนสิ่งสกปรกติดอันดับต่อมาคือ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์และเมาส์ ซึ่งโต๊ะทำงานของผู้หญิงมีเชื้อโรคสะสมมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า นั่นเพราะผู้หญิงชอบกินขนมบนโต๊ะทำงานนั่นเอง เพื่อสุขลักษณะนิสัยที่ดี คุณควรพกผ้าเช็ดโต๊ะสักผืนเพื่อเช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์ โต๊ะทำงานคีย์บอร์ด หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

จากข้อมูลที่รวบรวมข้างต้น เราไม่ได้เจตนาขู่ให้คุณกลัวเชื้อโรคจนไม่กล้าหยิบจับสิ่งของเครื่องใช้สาธารณะ หรือทำธุระนอกบ้าน เพราะในความเป็นจริงร่างกายมนุษย์มีจุลินทรีย์มากมายทั้งจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น จุลินทรีย์ที่อาศัยในลำไส้ทำหน้าที่ย่อยอาหาร และจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดอาการท้องร่วงท้องเสีย เป็นต้น ...สรุปแล้วการรักษาความสะอาดให้ดีถูกหลัก โดยเฉพาะหมั่นล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์เป็นประจำ นอกจากจะป้องกันไม่ให้เชื้อโรคชนิดไม่ดีทำร้ายสุขภาพตนเอง (อย่างที่ระบาดในปัจจุบันคือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่) ยังป้องกันการแพร่กระจายสู่คนอื่นๆ อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูล : นิตยสาร HealthToday
read more “สถานที่สกปรกที่คุณมองข้าม !!”

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย..ตายผ่อนส่ง

0 ความคิดเห็น

ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน...
คำตอบคือ กินสายกลาง
กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง + งดมื้อเย็น

เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อนหรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมดเติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้

สมมุติ
กินไข่ลวก 1 ฟองโต ๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบเหงื่อไหลท่วมตัวแต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด

ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่าง ๆ โดย ตับ เป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่าง ๆ ก็มากทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโต ๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวันเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้น้อยลงอวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้น หรือแก่เร็วขึ้น

ถ้าวันไหนอุดตันเช่น ถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไตต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้งถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก
มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมากถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน

วิธีฝึกมี 4 วิธี
1. ค่อย ๆ ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อย ๆ เช่น ลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็น แล้วห้ามกินอาหารใด ๆ ทั้งนั้น ยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จานต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่น จาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น สุดท้ายงดอาหารเย็น
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว

4. กินมังสวิรัติมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน
ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไตจะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมดร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
ที่มา : fwd
read more “มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย..ตายผ่อนส่ง”

25 Healthy Tips อย่ามองข้าม

0 ความคิดเห็น
1.การดื่มน้ำ ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2.การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน
3.ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลังเพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4.วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพคือหลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5.การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย
6.แสงแดดยามเช้า ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดใน ช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7.ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ

8.แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9.การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว

10.การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

11.เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้าง หน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
12.ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
13.ผู้ที่รับประทานไข่ เป็นเวลา 8 อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง
14.การรับประทานอาหารไปดูหนัง ไปทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15.เสียงเพลง มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรายิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น
16.การดื่มน้ำ(เปล่า) เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก
17.การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม
18.ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้นเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
19.รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน การลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอคือก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น
20.หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป
21.สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด
22.การเล่นเกมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเกมที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน
23.การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม
24.ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม
25.ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
ที่มา : teenee.com
read more “25 Healthy Tips อย่ามองข้าม”

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อาหาร 8 ชนิดสร้างภูมิสู้...หวัด !!

0 ความคิดเห็น
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหาร 8 ชนิดดังต่อไปนี้
ที่เชื่อว่าอาจให้ผลในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันหรือลดความรุนแรงของหวัด ประกอบด้วย

1. อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริก ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น

2. กระเทียม ช่วยลดอาการหวัด จะเติมลงในอาหารหรือเคี้ยวสดๆ วันละ 1 - 2 กลีบก็ได้

3. ดื่มน้ำมากๆ แทนที่จะดื่มกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาจดื่มน้ำผลไม้คั้นสดบ้างเพื่อเสริมวิตามินซี เครื่องดื่มร้อนที่ช่วยได้ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่นๆ จะช่วยลดเสมหะได้

4. ซุปไก่ร้อนๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักหลายๆ สี เพื่อเพิ่มสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นเคี่ยวนานๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ อาจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย

5. สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น

6. ผลไม้ตระกูลส้ม ซึ่งมีวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงการติดหวัดโดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงคนสูบบุหรี่ บุหรี่เองเพิ่มความเสี่ยงการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้น

7. อาหารอื่นๆ ที่เป็นแหล่งวิตามินซี เช่น ฝรั่ง พริกหวาน สตรอเบอร์รี่ สับปะรด กะหล่ำปลี ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน 8. ขิง ช่วยลดอาการหวัดและป้องกันหวัด น้ำขิงร้อนๆ ผสมกระเทียม 2 - 3 กลีบ ช่วยให้ระบบหายใจทำงานคล่องขึ้น

ที่มาเนื้อหาจาก kroobannok.com
read more “อาหาร 8 ชนิดสร้างภูมิสู้...หวัด !!”

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

0 ความคิดเห็น
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งอันอับ 2 ของมะเร็งสตรีทั่วโลก จะเป็นรองก็แต่มะเร็งเต้านมเท่านั้น แต่สำหรับเมืองไทย มะเร็งปากมดลูกกลับเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในบรรดามะเร็งของสตรี แต่ละปี มีคนไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกมากกว่า 6,000 ราย ไวรัส HPV ติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ HPV เป็นได้ทั้งหญิงและชาย (ชายรักชาย) จะเรียกว่าเป็นมะเร็งที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted cancer) ก็ได้ ดังนั้นพฤติกรรมทางเพศจึงมีความสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก

HPV VACCINE ก็คือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV (Human PapillomaVirus) นั่นแหละ แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ว่ามะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร ก็เลยไม่รู้ว่าจะป้องกันอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกก็คือเจ้า HPV นี่เอง เมื่อรู้สาเหตุ ก็รู้วิธีป้องกัน จึงมีผู้คิดค้นหาวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก

ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส HPV คือ
· การมีคู่นอนหลายคน (ครั้งละหลายๆคน หรือครั้งละคน แต่มีหลายคน)
· คู่นอนมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นหรือชายอื่นหลายๆคน
· มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยๆ
· มีลูกมาก
· มีภูมิคุ้มกันต่ำ
· มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆร่วมด้วย
ไวรัส HPV มีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็เป็นสายพันธุ์ธรรมดาๆ บางสายพันธุ์ก็เป็นสายพันธุ์ดุ ก่อให้เกิดมะเร็งได้ เช่นสายพันธุ์ 16, 18, 45, 31, 33, 52, 58 สายพันธุ์ 16 พบได้ร้อยละ 50-60 สายพันธุ์ 18 พบได้ร้อยละ 10-15 การพัฒนาวัคซีนจึงมุ่งเน้นสายพันธุ์ 18 และ 16 เป็นส่วนใหญ่
วัคซีน HPV ทำจากอะไร
วัคซีน HPV ก็ทำจากตัวเชื้อ HPV นั่นแหละ โดยนำโปรตีนที่เปลือกหุ้มของตัวไวรัสมาเพิ่มจำนวน แล้วมาทำเป็นอนุภาคที่คล้ายตัว HPV เรียกว่า virus-like particle (VLP) ซึ่งมีโครงสร้างทุกอย่างเหมือนตัวเชื้อ HPV ต้นแบบ เพียงแต่ไม่มี DNA ที่ก่อมะเร็งเท่านั้น เจ้า VLP ตัวนี้สามารถกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิต้านทาน (antibody) ได้ดีมากๆ แอนติบอดีที่เกิดขึ้นก็จะวิ่งไปออกันอยู่ที่มูกบริเวณปากมดลูก พอเชื้อ HPV เข้ามา มันก็จัดการเขมือบซะ !

วัคซีน HPV มีกี่ชนิด
ในการพัฒนาวิจัยวัคซีน HPV มีหลายเจ้า หลายบริษัท บางบริษัทก็ทดลองวัคซีนป้องกัน HPV โดดๆ สายพันธุ์เดียว บางเจ้าก็ทดลองวัคซีนที่มีสองสายพันธุ์รวมกัน (สายพันธุ์16 กับ 18) บางเจ้าก็ทดลองหลายๆสายพันธุ์รวมกันถึง 5 สายพันธุ์ก็มี (สายพันธุ์ 16, 18, 45, 31, และ 33) ซึ่งป้องกันได้ถึง 83 % หรือบางเจ้าต้องการให้ครอบคลุมไวรัสแบบครอบจักรวาล ก็ทดลองให้มีถึง7 ชนิดโดยเพิ่มสายพันธุ์ 52 กับ 58 เข้าไปก็มี ซึ่งก็สามารถป้องกันได้ถึง 87 %
มีวัคซีนแล้วดียังไงไม่ดียังไง
เรื่องดีก็คือ ต่อนี้ไป เราจะมีวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกกันแล้ว แม้จะป้องกันได้ไม่หมดเสียทีเดียว แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีความหวังอะไรเลย
แล้วมีอะไรไม่ดีล่ะ เรื่องไม่ดีก็คือ วัคซีนตัวนี้เพิ่งพัฒนาแล้วเสร็จ เพิ่งได้รับการรับรอง แต่ก็ยังไม่มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง เช่น ควรเริ่มฉีดตอนอายุเท่าไร เอาตั้งแต่แรกเกิดเลยดีไหม หรือรอให้เข้าโรงเรียนก่อน หรือค่อยฉีดตอนเข้าวัยสาว หรือรอฉีดก่อนแต่งงาน แล้วถ้าฉีดผู้ชายตัวต้นเหตุ จะมีประโยชน์หรือเปล่า ต้องฉีดกระตุ้นไหม ถ้าต้องฉีดกระตุ้น ต้องกี่ปีจึงจะฉีดซ้ำ แล้วสาวโสดประเภทมีแนวโน้มจะขึ้นคาน ต้องฉีดหรือเปล่า คนที่มีเชื้อหรือติดเชื้อ HPV อยู่แล้ว ฉีดไปจะทำให้หายเร็วขึ้นไหม ที่มองในแง่ลบสุดๆ เมื่อมีวัคซีนป้องกันแล้วจะทำให้ผู้คนประมาท ไม่ป้องกันมากขึ้นไหม จะสำส่อนทางเพศเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เหล่านี้เป็นประเด็นที่ยังไม่มีการศึกษา

คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจจะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV
1 ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์แล้ว วัคซันนี้อาจไม่เป็นประโยชน์กับคุณเลย เพราะมีโอกาสสูงมากที่คุณเคยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวมาแล้ว2 ถ้าคุณอายุมากกว่า 26 ปี ผลตอบสนองจากการฉีดวัคซีนอาจไม่ดีเท่ากับคนอายุน้อยกว่า3 ถ้าคุณสนใจฉีดวัคซีนนี้ เพราะเข้าใจว่าจะทำให้ไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เช่น แปปสเมียร์ VIA หรือ Thin prep อีกต่อไป ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์ และนำชีวิตไปสู่ความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะวัคซีนนี้ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เพียง 70 % เท่านั้น

ราคาเท่าไร แพงไหม
การฉีดวัคซีนเอชพีวีต้องฉีด 3 ครั้ง คือ เมื่อเริ่มฉีดครั้งแรก หลังจากนั้น 1-2 เดือน จะฉีดครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 หลังจากครั้งแรก 6 เดือน เมื่อก่อนราคาวัคซีนเอชพีวี 3 เข็ม ประมาณ 12,000-14,000 บาท แต่ปัจจุบันราคาเหลือประมาณ 7,000-8,000 บาท บางโรงพยาบาลสามารถให้ทยอยจ่ายทีละครั้งได้จนครบ 3 ครั้ง


ที่มาจาก http://www.elib-online.com/doctors49/cancer_vaccine001.html

read more “วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก”

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

น้ำขิง ทางออกหลังทำคีโม

0 ความคิดเห็น

ผลวิจัยล่าสุดจากห้องแล็บมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก พบว่า อาการข้างเคียงอย่างคลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งเป็นผลจากการทำเคมีบำบัดใน ผู้ป่วยมะเร็ง แก้ไขได้ด้วยการดื่มน้ำขิง

70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับคีโมมักมี อาการดังกล่าวข้างต้น เป็นปัญหาที่ค่อนข้างสร้าง ความทุกข์แก่ผู้ป่วย การทดลองนี้มีขึ้นกับผู้ป่วย 644 คน เป็นเวลา 6 วัน โดยเริ่มทดลองล่วงหน้า 3 วันก่อนการ ทำคีโมครั้งแรก ในการทดลอง ผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งจะได้รับ ยาหลอก ส่วนอีกกลุ่มได้รับขิงผงบรรจุแคปซูล ผล ออกมาว่า ผู้ป่วยบางคนในกลุ่มแรกมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมากถึง 4 ครั้งต่อวัน ส่วนกลุ่มที่ได้รับขิงผง ไม่มีอาการเลย จึงสรุปได้ว่า ขิงผงช่วยลดอาการ คลื่นไส้ อาเจียนหลังทำคีโมได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

การทดลองยังบอกอีกว่า ขิงผง ขิงสด เครื่องดื่ม ผสมขิง หรือแม้แต่ขนมรสขิงก็ให้ผลดีเช่นเดียวกัน แต่ต้องมีปริมาณขิง 1 ใน 4 ถึงครึ่งช้อนชาจะได้ผลดี ที่สุด

ที่มา : mcot.net
read more “น้ำขิง ทางออกหลังทำคีโม”

เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี

1 ความคิดเห็น
ไข่ฟองกลมๆ เหล่านี้จะช่วยรักษารูปร่างคุณให้ดี หรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณกันแน่
น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ
การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"

นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง

6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี

ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

"โปรตีนในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว

"แต่จัดว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับ คอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้

ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้านได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น

ขอบคุณที่มา : นิตยสาร Men's Health
read more “เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี”

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ภูมิแพ้ และกลิ่นปาก

0 ความคิดเห็น
คุณนฤมล อายุ 17 ปี น้ำหนัก 43 กิโลกรัม มีอาการภูมิแพ้ ที่เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ต้องกินยาหาหมอกันตลอดมา มีน้ำมูกไหล หายใจไม่ค่อยออกตลอด แต่ปัญหาที่หนักใจอยู่ตอนนี้ คือ อาการที่เป็นตุ่มเม็ดขึ้นและคันมาก เกาจนเป็นแผล เละไปแทบจะทั้งตัว ขาแขนลายพล้อยเลยทีเดียว

ตอนเด็กๆ ก็ยังไม่รู้สึกมาก คันน่ะคัน และเกาจนเลือดซิบๆมามาตลอด แต่ตอนนี้ “หนูเป็นสาวแล้ว” ปีหน้าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ขืนขาลายอยู่อย่างนี้อายเขาแย่ ไม่กล้าใส่ชุดว่ายน้ำไปเล่นน้ำกับเพื่อนเลย ใส่แต่กางเกงขายาวปกปิดแผลไว้

ผู้ที่เป็นทุกข์ใจไม่น้อยกว่าเจ้าตัว ก็คือคุณแม่ ที่พยายามพาลูกไปรักษาตลอด หมอผิวหนังที่ไหนว่า เก่งต้องรีบพาลูกไปรักษา แต่จนแล้วจนรอด 10 กว่าปีแล้ว ก็ไม่ยอมหายสักที ถึงกับบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เจอหมอเก่งๆ รักษาลูกให้หายที

เมื่อได้อ่านประวัติคนไข้ที่เธอเขียนมา ก็ถึงบางอ้อว่าทำไมโรคที่เธอเป็นอยู่ไม่หายสักที ก็เธอมุ่งแต่หาหมอรักษาโรค ไม่ได้รักษาตัวเธอที่เป็นโรค เธอถึงได้จมอยู่กับโรคไม่ยอมหาย

ท่านผู้อ่านคงจะงงนะ เอ!! หมอแดงพูดอะไรเข้าใจยากเสียจริงผมขออธิบายเสริมว่า “เราเป็นตามสิ่งที่เรากิน เราเป็นตามสิ่งที่เราทำ” โรคที่เกิดขึ้นกับเธอไม่มีตัวเชื้อโรคเลย ถ้าจะแก้ไข ก็ต้องแก้ไขกันที่ “การกิน และพฤติกรรม” ซึ่งเป็นตัวก่อโรค ไม่ใช่ตัวเชื้อโรค สิ่งที่เธอกิน สิ่งที่เธอทำในอดีตนั้นมันผิด จึงก่อให้เกิดปัญหา ดังนั้นเธอจะต้องปรับเปลี่ยน แก้ไขให้มันถูกต้อง มัวแต่กินยา ทายา ฉีดยา พ่นยาอยู่ ก็รังแต่จะเป็นหนักขึ้นๆ

ลองมาดูพฤติกรรมของเธอๆ ดื่มน้ำเย็นตลอด เท่านั้นยังไม่พอ ตามด้วย น้ำอัดลม น้ำหวาน ช็อคโกแลตปั่น 2 แก้วต่อวัน น้ำผลไม้แยกกาก ส่วนใหญ่จะเป็นส้มอีก 1-2 แก้ว ซึ่งล้วนแล้วแต่เย็นๆทั้งนั้น

เธอเป็นภูมิแพ้ แสดงว่าปอด และไตเย็นชื้น ร่างกายจะเย็นเป็นส่วนใหญ่ แต่เธอยังกินแต่ของเย็นๆ ลงไปตลอดเวลา แถมนอนห้องแอร์เย็นอีก ร่างกาย อวัยวะภายในก็จะเย็นชื้น โดยเฉพาะปอด เมื่อเย็นชื้นก็จะเกิดเสมหะ หายใจไม่ออกแล้วที่ผิดมากก็คือทานอาหารแล้ว ดื่มน้ำเย็น 2 แก้ว บางมื้อมีน้ำผลไม้ หรือช็อคโกแลตปั่นเย็นๆ อีกด้วย ไฟย่อยอาหาร น้ำย่อย น้ำดีถูกทำลายเกลี้ยง อาหารก็ไม่ย่อย พากันเน่าเสีย เกิดเป็นสารพิษ แล้วถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด แล้วก็เลือดที่เสียๆ นี่แหละที่ถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ร่างกายก็ขับออกทางผิวหนังเป็นเม็ดพุพองหนองเต็มตัว ที่เราเรียกกันว่าน้ำเหลืองเสีย เลือดเสียนั่นแหละ

อีกท่าน เป็นสุภาพสตรีเช่นกัน อายุ 21 ปี ยังเป็นนักศึกษาอยู่ เป็นภูมิแพ้มาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ปวดดั้งจมูก หายใจไม่ค่อยออก เพิ่งไปหาหมอมา หมอก็บอกว่าเป็นเพราะภูมิแพ้ กินยาต่อไปตามปกติ กินจนชิน ถือเป็นเรื่องปกติของชีวิต ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาย และเลิกกินยาได้เมื่อไหร่
แต่ที่มาหาหมอวันนี้เพราะปัญหา “กลิ่นปาก” เป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับเธอและผู้ปกครองของเธอด้วย เพราะวันนี้มีคุณพ่อพามา คงพากันรักษามานาน “หนูเช็คตรวจฟัน ขัดฟัน ขูดหินปูน มาเรียบร้อยหมดแล้วนะคะ แต่กลิ่นปากก็ไม่หายไป จะมีกลิ่นหลังจากกินข้าว 20 นาที และหลังแปรงฟัน” เธอว่ามา

อาการที่เกิดขึ้นกลับสาวสวยท่านนี้ แทบไม่ต้องดูประวัติคนไข้ที่เธอเขียนให้มา ผมก็ฟันธงได้เลย ว่าเป็นเพราะ “อาหารไม่ย่อย” เพราะเจอคนไข้ที่เป็นอย่างนี้มากมาย ประเภทกินน้ำไม่เป็น สักแต่ว่าดื่มน้ำมากๆ ตามเขาว่ากัน ก็ดื่มๆ ตามเขาไป แต่กินผิดวิธี ผิดเวลา

นักศึกษาสาวสวยท่านนี้ก็มีพฤติกรรมในการดื่มน้ำเหมือนกับนักศึกษาตามสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ทั่วไปที่ผมเคยเห็นมา เวลาทานอาหารจะสั่งน้ำมาเป็นขวด 500-750 ml. แล้วก็กินไปดื่มน้ำไป อิ่มแล้วก็ดื่มน้ำต่อ จนน้ำหมดขวด สาวสวยท่านนี้ ดื่มน้ำหลังอาหาร 750 ml. อยู่บ้านก็คงดื่มน้ำมากเช่นกัน แถมน้ำเย็นด้วย และยังมีชาเขียวแช่เย็นอีกด้วย

นี้คือพฤติกรรมที่ทำกันเป็นส่วนมาก มันเป็นเส้นผมบังภูเขา ไม่รู้ หรือคิดไม่ถึงว่า กระเพาะมันจะย่อยอาหารได้อย่างไร ในเมื่อน้ำเข้าไปดับไฟย่อยอาหาร น้ำดี น้ำย่อยหมด อาหารที่กินเข้าไปก็หมักเน่าเสียอยู่ในกระเพาะ ลำไส้ เป็นแก๊ส ลอยขึ้นมาออกปาก ออกจมูก ทำให้มีกลิ่นปากเมื่อออกทางปาก แล้วจะแปรงฟันกี่ครั้งล่ ะถึงจะหาย มันหายไปไม่ได้แน่ เพราะเรามีโรงงานแก๊สที่ผลิตแก๊สอยู่ในท้องตลอดเวลา ไม่ว่าหลับหรือตื่นไม่มีชั่วโมงพัก แล้วแก๊สนั้นก็พากันดันออกมาตลอดเวลา

ที่ว่าหลังอาหาร 20 นาทีจะมีกลิ่นออก ก็เพราะว่าอาหาร และน้ำที่กินเข้าไปตอนแรกมันไปกลบ ไปปิดทางออกไว้กลิ่นก็ออกมาไม่ได้ สักพักพอทางออกเปิดได้หน่อย กลิ่นก็จะพากันพวยพุ่งขึ้นมาก็ลองคิดดูเถอะว่ากลิ่นนั้นจะมาจากไหน ในเมื่อฟันเราก็ดี ให้หมอฟันตรวจเช็คมาอย่างดีแล้ว ก็ต้อง ขึ้นมาจากกระเพาะลำไส้ ตามหลอดอาหารแล้วออกทางปาก จมูก จนปวดดั้งจมูกด้วย และเมื่ออาหารที่กินแล้วย่อยไม่ได้ ก็จะเกิดเป็นของเสีย เป็นมูก เป็นเมือก เสมหะ เสลด เข้าไปอุดตันตามช่องทางต่างๆ แล้วร่างกายเราก็พยายามกำจัดออกมาเป็นน้ำมูก เสมหะ แล้วเราก็ยังกินยาลดเสมหะ กินยาลดน้ำมูกเข้าไปอีก ของเสียเหล่านั้นแทนที่จะออกมาก็ออกไมได้ สะสมเรื่อยไป และยิ่งเน่าเสียมากขึ้น

นี่แหละวิถีชีวิตของคนไข้ ก็รักษากันวนเวียนอยู่อย่างนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีทางรักษาหาย

โดย www.the-arokaya.com
read more “ภูมิแพ้ และกลิ่นปาก”

แพทย์ทางเลือก

0 ความคิดเห็น

"แพทย์ทางเลือก" ถือกำเนิดจาก ประเทศทางตะวันออก ก็ประเทศทางเอเชียโดยเฉพาะประเทศจีน ประชาชนชาวไทยและประชากรทั่วโลกได้หันมาสนใจการรักษาแบบแผนโบราณทั้งการฝัง เข็ม โยคะ รำไทเก๊ก การทำสมาธิ สมุนไพร ชีวจิต ฯลฯ ปัญหามีอยู่ว่าการรักษาแพทย์ทางเลือกชนิดใดที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับราคา

โรค ชนิดไหนที่ใช้การรักษาแบบแพทย์ทางเลือก ใครเป็นผู้เชี่ยวชาญ การรักษานั้นมีผลข้างเคียงหรือข้อห้ามอย่างไรบ้าง สมุนไพรนั้นใช้รักษาโรคอะไรใช้ขนาดแค่ไหน และนานแค่ไหน

ต่างประเทศ จะมีคำสองคำที่เกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกคือ
* Complementary Treatment หมายถึง การรักษาร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่นการรำไทเก็กร่วมกับการจ่ายยาคลายเครียด
* Alternative หมายถึง การรักษาโรคโดยใช้แผนโบราณอย่างเดียว เช่นใช้การรักษาแบบ Homeopathy

ปรัชญาของการรักษาโดยแพทย์ทางเลือก
ปรัชญาของการรักษาโดยแพทย์ทางเลือกแต่ละชนิด จะมีลักษณะที่คล้ายกันดังนี้
1. หลักข้อแรก คือร่างกายสามารถที่รักษาตัวเอง เมื่อคุณเป็นหวัดมีไข้ปวดตามตัวคุณไม่จำเป็นต้องใช้ยาลดไข้ แต่ให้หาวิธีที่จะกระตุ้นให้ภูมิของร่างกายมาจัดการกับเชื้อโรค

2. การป้องกันเป็นวิธีที่ดี แพทย์ทางเลือกมักจะเน้นเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา การรักษาที่แพทย์ทางเลือกให้นั้นมุ่งเน้นที่ป้องกันโรคมากกว่า
3. เรียนรู้และร่วมกันรักษา แพทย์ทางเลือกมักจะศึกษาร่วมกับผู้ป่วยเพื่อหาทางรักษาตามความต้องผู้ป่วย

เราแบ่งการรักษาแพทย์ทางเลือกได้กี่แบบ
การบำบัด Healing
หมายถึงการระบบการรักษาที่ต้องอาศัยวิธีการหลายอย่างมารักษาโรค เพื่อให้พลังจากธรรมชาติหรือพลังในร่างกายมารักษาโรคเช่น

* การรักษาแบบ The Ayurveda system ซึ่งเป็นการรักษาของประเทศอินเดียตั้งแต่อดีตโดยมีปรัชญาว่าคนมีความแตกต่าง ทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องเดียวกันอาจจะได้รับการรักษาที่ไม่เหมือนกัน กาารักษาจะอาศัยสัมผัสทั้ 5 ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส การรับรส การได้กลิ่น มาปรับสมดุลของร่างกาย ดังนั้นในการรักษาอาจจะต้องประกอบด้วย Aromatherapy, Sound therapy, Massage, อาหาร, การเข้าสมาธิ

* Homeopathy การรักษาวิธีนี้เปรียบถูกหนามตำต้องเอาหนามบ่ง หากคุณเป็นโรคและเกิดอาการ การรักษาจะเอาพืชหรือสัตว์ที่ทำให้เกิดอาการนั้นมาให้กับผู้ป่วยเพื่อ เร่งกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต่อโรค

* Naturopathic ธรรมชาติบำบัด เป็นการรักษาที่คล้ายกับการรักษาในแผนปัจจุบัน แพทย์จะใช้หลักโภชนา การออกกำลังกาย การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคกายและจิตเชื่อ ว่าการที่มีสุขภาพที่ดีร่างกายและจิตใจต้องติดต่อถึงกันและสื่อสารกัน การรักษาชนิดนี้จะเป็นการเชื่อมระหว่างร่างกายและจิตใจเพื่อให้สุขภาพดี

* การ ทำสมาธิ Meditation จะเป็นการเชื่อมระหว่างร่างกายและจิตใจ ระหว่างการทำสมาธิเราจะสนใจเพียงอย่างเดียวอาจจะเป็นการหายใจเข้าออก หรือการสวดมนต์

* Yogaโยคะ เป็นการใช้ท่าและสมาธิเพื่อให้ร่างกายและจิตเชื่อมถึงกัน หลักของโยคะจะอาศัยส่วนประกอบที่สำคัญ 4 อย่างได้แก่ การหายใจ (breathing), การผ่อนคลาย (relaxation), ท่า( poses) และการทำสมาธิ (meditation)

* Biofeedback เป็นการใช้จิตใจควบคุมร่างกาย เช่นการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ ความดันโลหิต การฝึกจะทำโดยการติด monitor ไว้เพื่อบอกความดัน อุณหภูมิ เพื่อเราตอบสนองต่อสิ่งเร้า ร่างกายเราตอบสนองออกมาอย่างไรเมื่อเกิดการเรียนรู้เราก็สามารถควบคุมการตอบ สนองของร่างกาย

อาหารเสริมและสมุนไพร
การรักษาวิธีนี้จะใช้ สารสังกัดจากธรรมชาติ เช่นสมุนไพร โสม แป๊ะก๊วย selenium, glucosamine มาใช้เพื่อการรักษา หลายคนคิดว่าสมุนไพรเป็นสารจากธรรมชาติไม่มีพิษไม่มีผลข้างเคียง แต่ความคิดเหล่านี้ผิด ผลข้างเคียงของสมุนไพรบางชนิดอาจจรุนแรง บางชนิดอาจจะมีปฏิกิริยากับยาแผนปัจจุบัน วิธีการใช้สมุนไพรมี 3 วิธี
* การใช้น้ำร้อนลาดไปยังใบไม้สดหรือแห้งเหมือนการชงชา
* การนำสมุนไพรมาต้ม
* สมุนไพรที่ทำเป็นผง เม็ด แคปซูล

การสัมผัสและการจัดกระดูก
การรักษาวิธีจะทำโดยการสัมผัสเช่นการนวด การจัดกระดูกส่วนที่เป็นปัญหา
* Chiropractic เชื่อการที่เรามีอาการส่วนหนึ่งเกิดจากการที่กระดูหลังของเราเรียงไม่ถูก ต้อง ทำให้มีการกดทับเส้นประสาท อวัยวะที่เส้นประสาทไปเลี้ยงจึงเกิดอาการ การรักษาจะทำโดยการจัดกระดูก

* Osteopathy เป็นการจัดกระดูกและกล้ามเนื้อให้เข้าที่ แพทย์จะยกแขนหรือขาส่วที่ปวดไปมา บางครั้งอาจจะกดไปยังบริเวณที่ปวด อาจจะทำให้รู้สึกปวดในบริเวณนั้น แต่หลังจากที่ได้ขยับไปมาคุณอาจจะได้พบการเปลี่ยนแปลง

* การนวด เป็นการนวดกล้ามเนื้อ เอ็นและผิวหนังเพื่อการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ

การเสริมสร้างพลังภายใน
เชื่อ ร่างกายเรามีพลังที่จะรักษาตัวเอง การรักษามุ่งเน้นใหร่างกายมีพลังเต็มที่จุดใดที่ไม่สมดุลหรือพลังงานถูกกั้น ก็จะใช้วิธีการ เพื่อให้พลังนั้นเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เช่น การฝังเข็ม

สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ผู้ที่จะใช้บริการต้องศึกษาหาความรู้เนื่องจากโรคบางโรครอ ไม่ได้เมื่อพบต้องรีบรักษาหากเสียเวลา จะทำให้การรักษาไม่ได้ผล และอาจจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพ แพทย์ทางเลือกที่เป็นที่นิยมมีดังนี้
* การฝังเข็ม
* ชี่กง
* การนวด
* Aromatherapy
* Naturopathic
* Macrobiotic
* Hydrotherapy
* สมุนไพร
* เกี่ยวกับเชื้อรา

จาก http://www.siamhealth.net/public_html/alter/index.htm
read more “แพทย์ทางเลือก”

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดับควันธูปลดมะเร็งร้าย

0 ความคิดเห็น
ในวันที่ 14 ก.ค. 2552 นี้ โครงการรณรงค์ดับควันธูป สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะเปิดแถลงข่าวและเริ่มเชิญชวนประชาชนให้ช่วยกันรณรงค์ดับควันธูปเพื่อลดโลกร้อน หย่อนควันพิษทอนฤทธิ์มะเร็ง ภายใต้การสนับสนุนของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เนื่องจากสถาบันจุฬาภรณ์ ซึ่งมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นพระองค์หนึ่งในคณะวิจัยได้ศึกษาผลกระทบสุขภาพของผู้ที่ได้รับควันธูปที่มีสารก่อมะเร็งอย่างน้อย 3 ชนิด คือ เบนซีน 1, 3 บิวทาไอดีน และ PAH ด้วยการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบระหว่างคนงานที่ได้รับควันธูปจากการปฏิบัติงานภายในวัดใหญ่ 3 แห่ง ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ จำนวน 40 คน กับคนงานในหน่วยงานที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน

ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าควันธูปเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การสูดดมควันธูปเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ของสารพันธุกรรม และทำให้ศักยภาพในการซ่อมแซมความผิดปกติของ DNA ลดลง ซึ่งความปกติเหล่านี้เป็นกลไกส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง

ทั้งนี้ เนื่องจากธูปทำมาจากขี้เลื่อยกาวน้ำมันหอมสกัดจากพืช ไม้หอม ใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้และเมล็ดพืชเรซิน และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมพอกอยู่บนก้านไม้ธูปมีหลายรูปแบบหลายขนาด ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่มากๆ เผาไหม้หมดในเวลา 20 นาที ถึง 3 วัน 3 คืน การเผาไหม้ของธูปจะปล่อยสารต่างๆ มากมาย มีทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ มีเทน และสารก่อมะเร็งหลายชนิด เช่น
- สาร PAH ซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์กับมะเร็งปอด ผิวหนังและกระเพาะปัสสาวะ
- สารเบนซีนสัมพันธ์กับมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- และสาร 1, 3 บิวทาไดอีน สัมพันธ์กับมะเร็งของระบบเลือด

ควันธูปนอกจากจะเป็นมลพิษทางอากาศที่สำคัญภายในบ้านในอาคารสถานที่ทำงาน วัด และศาลเจ้าที่มีการจุดธูปแล้ว การจุดธูปยังถือเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมในกิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนเป็นอย่างมาก โดยคาดว่ามีคนจุดธูปทั่วโลกปีหนึ่งๆ นับเป็นหมื่นเป็นแสนตัน

เพราะหากจะย้อนไปในอดีตจะเห็นได้ว่าการจุดธูปเป็นพิธีกรรมที่ชาวอียิปต์ใช้สักการะเทพเจ้าด้วยควันที่มีกลิ่นหอม วัฒนธรรมนี้ได้แพร่ขยายเข้าไปในประเทศกรีก และโรมันโบราณ และเข้าสู่ศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธในอินเดีย จากนั้นก็แพร่ไปยังประเทศต่างๆ ในตะวันออกไกล ประเทศไทย เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน ในประเทศไทย คนไทยจุดธูป 1 ดอก เพื่อเคารพบูชาบรรพบุรุษและบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว จุดธูป 3 ดอก เพื่อบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บางคนจุดทีเดียว 9 ดอก หรือมากกว่า เพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ จึงคาดกันว่าการจุดธูป ในประเทศไทยแต่ละปีนั้นมีไม่น้อยเลย

จากผลการวิจัยปริมาณสารที่ก่อมะเร็งในควันธูป ทำให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชนคนไทยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์จึงสนพระทัยและให้การสนับสนุนแก่สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในโครงการรณรงค์ดับควันธูปในครั้งนี้ เพื่อช่วยให้คนไทยได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประโยชน์ของสุขภาพอนามัยของประชาชนและช่วยในการที่จะลดการปลดปล่อยมลพิษ และก๊าซเรือนกระจกลดภาวะวิกฤตโลกร้อนและช่วยลดอุบัติการณ์ที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งด้วย ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการจุดธูปนี้อาจจะทำได้ในหลายแนวทาง ดังนี้

1.ใช้ธูปที่มีขนาดสั้นลงหรือเป็นแบบชนิดไฟฟ้า
2.หากจำเป็นต้องจุดธูปควรตั้งกระถางธูปไว้ภายนอกอาคารที่อากาศถ่ายเทสะดวก
3.จุดธูปแล้วรีบดับโดยจุ่มลงในน้ำหรือทราย
4.อาจสักการะได้โดยการพนมมือหรือถือธูปไว้ได้โดยไม่จุดแล้วระลึกถึงสิ่งที่เราจะสักการะ
5.อาจไหว้พระออนไลน์ ซึ่งเราสามารถจุดธูปเทียนถวายดอกไม้ ปิดทองพระ ท่องบทสวดมนต์ ภาวนาจิตผ่านคอมพิวเตอร์ได้


สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงตระหนักว่าการจุดธูปเป็นวัฒนธรรมที่มีรากฐานจากความเชื่อที่มีมาแต่โบราณสืบทอดกันต่อๆ มา ว่าทำให้สิ่งที่เราสักการะรับรู้ถึงการกระทบของเรา การจุดธูปนั้นก่อให้เกิดความสุขทางจิตใจ แต่สิ่งที่เราคาดไม่ถึงคือการส่งผลให้เกิดมลภาวะโลกร้อน และอาจทำให้เกิดโรคมะเร็ง คนไทยจึงควรจะปรับเปลี่ยนความเชื่อและพฤติกรรมนี้ใหม่ โดยหันมาคำนึงถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของเรา ด้วยการรณรงค์ให้คนทั่วโลกลดการจุดธูปโดยเริ่มต้นจากคนไทยเราก่อน

ในโอกาสวันคล้ายวันประสูติในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ซึ่งมีพระชันษาครบ 52 พรรษา ในวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมานี้ จึงขอเชิญชวนคนไทยให้ช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการจุดธูปมาช่วยกันรณรงค์ดับควันธูปเพื่อสนองพระปณิธานที่ทรงปรารถนาให้ประชาชนคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอยู่อย่างมีความสุขปลอดจากมลพิษ และภัยร้ายจากโรคมะเร็ง เพื่อสนองพระเดชพระคุณในวันคล้ายวันประสูตินี้โดยทั่วกัน

ที่มา : www.posttoday.com
read more “ดับควันธูปลดมะเร็งร้าย”

กินลดโลกร้อนได้

1 ความคิดเห็น
อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยของการดำรงชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญต่อคนเรา
โดยปกติแล้วคนเรากินอาหารทุกวัน ซึ่งถ้าเรารู้วิธีที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้โดยการเลือกซื้ออาหารในแบบที่ถูกต้องแล้ว ก็น่าจะช่วยโลกได้พอสมควรเลยทีเดียว
กินอย่างไรช่วยลดภาวะโลกร้อน...กินอย่างไร? วันนี้มีวิธีการเลือกอาหารการกินแบบที่สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้มาฝากกัน


การช่วยลดภาวะโลกร้อนไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย แม้กระทั่งการเลือกซื้ออาหารที่ถูกต้องเหมาะสม ก็สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว
ทีนี้เรามาดูกันว่าเลือกกิน เลือกซื้อ อาหารอย่างไรถึงจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้

1.ซื้อของสดที่ตลาดใกล้บ้าน
ถ้าใกล้ๆ บ้านของคุณมีตลาดสดอยู่ ก็ควรที่จะซื้ออาหารหรือของสดมาทำกับข้าวจากตลาดสดเลย เพราะว่าถ้าเทียบกับการซื้อกับข้าวหรือของสดที่ซูเปอร์มาร์เก็ตภายในห้างสรรพสินค้า ที่มีการใช้แพ็กเกจจิงอย่างฟุ่มเฟือย ทั้งถาดโฟม ห่อพลาสติก กล่องกระดาษ แล้วนั้น การซื้อของจากตลาดสดจะมีผลดีต่อโลกมากกว่า แล้วก็อย่าลืมเอาถุงผ้าหรือตะกร้าของเราไปจ่ายตลาดด้วย เพราะการไม่ใช้ถุงพลาสติกจะช่วยลดขยะลงได้ถึง 10% ส่งผลให้สามารถช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศได้ถึง 1,200 ปอนด์ นอกจากนั้นยังพบว่าในการผลิตถุงพลาสติก 1 หมื่นล้านถุง ต้องใช้ต้นไม้ถึง 14 ล้านต้น ทำให้เราสูญเสียตัวดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่ดีไปไม่น้อยอีกด้วย

2.แวะซื้อหลังเลิกงานหรือไปธุระ
ถ้าทางผ่านไปบ้านของคุณมีตลาดสด หรือร้านขายกับข้าวก็ควรจะแวะซื้อไปเลย จะได้ไม่เปลืองค่าน้ำมันรถ แล้วยิ่งตอนนี้น้ำมันแพง นอกจากจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว ยังจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของเราไปอีกทางหนึ่งด้วย กินผักผลไม้ตามฤดูกาลที่ปลูกภายในประเทศ

ในกรณีนี้ยิ่งถ้าเป็นผักปลอดสารพิษนั้นยิ่งน่าอุดหนุน เพราะการใช้ยาฆ่าแมลง นอกจากจะทำให้เกิดสารพิษทำร้ายโลกแล้ว ยังจะเป็นอันตรายต่อเราอีกด้วย การเลือกซื้อผลไม้ที่ปลูกในประเทศเรานั้น นอกจากจะช่วยสนับสนุนผลิตผลของเกษตรกรไทยแล้ว ยังจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งข้ามประเทศ ลดพลังงานจากการที่ต้องแช่แข็ง แถมเรายังได้กินของที่สดกว่าอีกด้วย

3.ลดการกินอาหารแช่แข็ง
อาหารแช่แข็งเป็นอาหารที่แทบจะใช้พลังงานสิ้นเปลืองในทุกขั้นตอน (อาหารแช่แข็งใช้พลังงานในการผลิตสูงถึง 10 เท่าของอาหารทั่วไป) ไม่ว่าจะเป็นกล่องพลาสติกที่ใส่ การขนส่ง แล้วยังจะต้องแช่เย็นไว้ตลอดเวลา เวลาจะกินยังต้องใช้ไมโครเวฟอุ่นอีก ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะกินอาหารแช่แข็ง

4.ลดกินเนื้อวัว
อุตสาหกรรมเนื้อวัวนั้นสร้างก๊าซเรือนกระจกสูง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ที่ออกมาจากมูลและการเรอของวัว ผู้เชี่ยวชาญเขาแนะนำว่าเราควรจะบริโภคเนื้อและแฮมเบอร์เกอร์ให้น้อยลง หากการบริโภคเนื้อแดงลดลง 10% สามารถลดปริมาณการผลิตก๊าซจากวัว แพะ และแกะได้ อีกอย่างกินเนื้อน้อยลงจะช่วยลดปริมาณการผลิตเนื้อ ก็คือลดการใช้เชื้อเพลิงนั่นเอง

5.กินมังสวิรัติกันเถอะ
การหันมากินผักแทนเนื้อสัตว์ เพื่อให้ลดการเลี้ยงสัตว์ลงจึงเป็นทางออกสำคัญที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ ซึ่งอาหารมังสวิรัติจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 3,000 ปอนด์ต่อคนต่อปี การกินมังสวิรัติเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนที่ถูกต้อง ควรเลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ในท้องถิ่น ส่งเสริมผักผลไม้ที่ใช้วิธีการปลูกตามวิถีพื้นบ้าน ไม่มีการใช้สารเคมี และไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม การกินผักผลไม้ในท้องถิ่น จะช่วยลดการคมนาคมขนส่งสินค้าจากแดนไกล นอกจากนี้การหันมากินอาหารมังสวิรัติยังเป็นการส่งเสริมให้มีการปลูกพืชผักมากขึ้น พืชผักและต้นไม้เป็นตัวดูดจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในอากาศ เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง ดังนั้นการเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตร หรือแม้แต่การปลูกพืชผักสวนครัวก็มีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ ข้อดีอีกประการของการหันมากินพืชผัก คือสามารถจัดการกับขยะที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

หากคุณผู้อ่านทั้งหลายสามารถทำแบบนี้ได้ทั้งหมด แค่นี้ก็จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว...ไม่ยากเลยใช่ไหม

ที่มา : posttoday.com

read more “กินลดโลกร้อนได้”

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เกลือสาเหตุหนึ่งของความดันโลหิตสูง

0 ความคิดเห็น

เค็มเหมือนเกลือ เกลือมีดีที่เค็ม แต่เค็มมากไปก็ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นนิสัยเค็มไม่แบ่งใคร หรือกินเค็มเกินไป
ปัจจุบันพบว่าคนไทยมีการบริโภคเกลือเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีอายุระหว่าง 40-49 ปี คนกลุ่มนี้บริโภคเกลือมากขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า และเป็นกลุ่มอายุที่มักพบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยพบว่าในภาคเหนือมีจำนวนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มากที่สุด รองลงมาได้แก่ภาคกลาง กรุงเทพฯ ภาคอีสาน และภาคใต้ตามลำดับ

สาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนไทย ที่นิยมรับประทานอาหารรสจัดซึ่งรวมถึงรสเค็ม สังเกตได้จากเครื่องปรุงรส เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว กะปิ ปลาร้า นอกจากนี้เกลือยังแฝงอยู่ในรูปของเกลือโซเดียมอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ในอาหารและขนมเกือบทุกชนิด เช่นเนื้อสัตว์ อาหารจานด่วน ขนมกรุบกรอบต่างๆ ซึ่งหากร่างกายได้รับเกลือในปริมาณมาก โอกาสที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็ย่อมมากตามไปด้วย เช่นกัน

คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าแนวโน้มตัวเลขผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทยสูงขึ้น 71 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าจะมีผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งมีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่รู้ตัวว่ากำลังมีภาวะความดันโลหิตสูง และในจำนวนนี้มีผู้เข้ารับการรักษาเพียง 60 เปอร์เซ็นต์ ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค ซึ่งโดยส่วนใหญ่แพทย์สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ส่วนที่เหลืออีก 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค ทำให้จำเป็นต้องรักษาที่ปลายเหตุ โอกาสที่จะรักษาโรคให้หายขาดได้จึงมีค่อนข้างน้อย ซึ่งปัจจุบันแพทย์สามารถควบคุมการรักษาโรคความดันโลห ิตสูงได้ถึงเป้าหมายมี ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์

“เกลือ” เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจโต โรคไต โรคทางตา โรคหลอดเลือดแดงตีบ รวมถึงโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ของโลก

ความน่ากลัวของโรคความดันโลหิตสูง คือการที่ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังป่วยเป็นโ รคนี้ และเข้ารับการรักษาเมื่อมีอาการมากและมีผลแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง จึงทำให้การรักษายากขึ้น

และสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้การรักษาไม่ได้ผลคือการ ที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ละเลยที่จะรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ หรือรับประทานยาเฉพาะเวลาที่มีอาการเท่านั้น และในขณะเดียวกันโรคความดันโลหิตสูง ที่เกิดขึ้นในผู้ใหญ่นั้นประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ ไม่ทราบสาเหตุ แพทย์จึงรักษาที่ปลายเหตุ

ค่าความดันโลหิตของคุณควรเป็นเท่าไร

ตามปกติระดับความดันโลหิตควรอยู่ระหว่าง 120/80 มม.ปรอท ถ้าหากพบว่ามีค่าความดันสูงกว่านี้ แต่ไม่เกิน 140/90 มม.ปรอท ถือว่าเข้าข่ายความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสู ง และหากว่ามีค่าความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอทขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ดังนั้น ต้องควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่าค่าดังกล่าว แต่หากว่ามีความดันโลหิตสูงร่วมกับเป็นเบาหวานหรือโร คไต จะต้องลดความดันให้ต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท

หากค่าความดันโลหิตสูงกว่าที่ควรเป็น จะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่ม ขึ้น โดยความดันโลหิตตัวบนที่สูงกว่าความดันโลหิตเป้าหมาย ของแต่ละคนทุกๆ 20 มม.ปรอท และความดันโลหิตตัวล่างทุกๆ 10 มม.ปรอท จะทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้ นถึง 2 เท่า

ดังนั้น สิ่งที่สามารถลดค่าความดันโลหิตได้ คือการรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์ โดยต้องแน่ใจว่าได้รับยาตามที่แพทย์สั่ง เพราะแพทย์ได้คำนึงถึงประโยชน์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากการลดความดันโลหิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจต้องใช้ยาลดความดันโลหิตมากกว่า 1 ชนิด เพื่อลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งสามารถทำได้โดยเพิ่มยาอีก 1 เม็ด ที่ออกฤทธิ์แตกต่างกันหรือจ่ายยา 2 ชนิด ที่ออกฤทธิ์แตกต่างกัน แต่รวมอยู่ในเม็ดเดียวกัน

อาหารประเภทใดมีเกลือโซเดียม?

1. อาหารที่มีเกลือโซเดียมสูง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

1.1 อาหารที่ใช้เกลือปรุงรส เช่น :

- ซอสรสเค็ม อาทิ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสหอยนางรม เต้าเจี้ยว

- ซอสหลายรส เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซีอิ๊วหวาน

- เครื่องปรุงรสที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน ผงชูรส ผงฟู

1.2 อาหารที่ใช้เกลือถนอมอาหาร เช่น :

- อาหารตากแห้ง อาทิ ปลาเค็ม กุ้งแห้ง กะปิ เต้าหู้ยี้ แหนม ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ผลไม้ดอง ผักดอง รวมถึงอาหารสำเร็จรูปชนิดผง เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม

- เนื้อสัตว์ปรุงรส เช่น หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง

- อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปซอง

- อาหารสำเร็จรูปบรรจุถุง เช่น ข้าวเกรียบ ข้าวตังปรุงรส มันฝรั่ง

2. อาหารที่มีเกลือโซเดียมปานกลาง เช่น อาหารที่ใช้สารปรุงแต่งรส อาทิ ผงชูรส สารกันบูด ผงฟู

3. อาหารที่มีเกลือโซเดียมอยู่ตามธรรมชาติ เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะอาหารทะเล อาทิ กุ้ง ปู หอย ปลา

วิธีพ้นภัยโรค

การรักษาโรคความดันโลหิตสูงแบ่งได้ 2 แบบคือ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการกินยา รวมไปถึงการงดสูบบุหรี่ พยายามไม่เครียด แต่อย่างไรก็ตามการแพทย์ได้ให้คำแนะนำในการป้องกันโร คความดันโลหิตสูง วิธีการหนึ่ง คือลดการกินเกลือ องค์การ อนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าไม่ควรรับประทานเกลือหรืออาหารที่มีเกลือแกง (Sodium Chloride) มากกว่า 6 กรัม หรือ 1 ช้อนชาต่อวัน แต่ต่อมาพบว่ายังมากเกินไป ดังนั้นจึงมีบทสรุปที่ว่า ควรรับประทานเกลือหรืออาหารที่มีเกลือแกง (Sodium Chloride) ไม่เกินครึ่งช้อนชาต่อวัน โดยแนะนำวิธีลดการรับประทานเกลือ และการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินชีวิตบางลักษณะ

1.เลือกซื้อผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ ที่สดใหม่ แทนการเลือกซื้ออาหารกระป๋อง ผักดอง และอาหารสำเร็จรูป ล้างผักและเนื้อสัตว์ที่ใช้ประกอบอาหารให้สะอาด เพื่อชะล้างเกลือออก

2.ไม่วางภาชนะ หรือขวดใส่เกลือรวมทั้งเครื่องปรุงต่างๆ ไว้บนโต๊ะอาหาร เช่น ซอส ซีอิ๊วขาว และน้ำปลา เพื่อเป็นการลดพฤติกรรมการเพิ่มรสเค็มลงในอาหาร

3.อ่านฉลากอาหารก่อนซื้อทุกครั้ง และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ

4.ชิมอาหารก่อนรับประทาน และฝึกการรับประทานอาหารที่มีรสชาติพอเหมาะ ไม่เค็มจัดหรือหวานจัดเกินไป

5.ลดการใช้เกลือและเครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศและสมุนไพรที่มีปริมาณโซเดียมต่ำแ ทน เช่น หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว

6.พยายามปรุงอาหารรับประทานเอง แทนการรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือการซื้ออาหารสำเร็จรูป และใส่เกลือในการปรุงรสให้น้อยที่สุด

7.การเดินเร็วๆ วันละ 30 นาที โดยหากสามารถทำได้ทุกวัน สามารถลดความดันโลหิตได้ 4-9 มม.ปรอท

8.การลดน้ำหนักลง 10 กก. สามารถลดความดันโลหิตได้ถึง 20 มม.ปรอท

และเนื่องในวันความดันโลหิตสูงโลกประจำปีนี้ หรือ World Hypertension Day 2009 ทั่วโลกได้ร่วมมือกันรณรงค์ให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมคว ามดันโลหิตสูงให้ถึง เป้าหมายของการรักษา โดยส่งเสริมการลดการรับประทานเกลือ ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของการเกิดภาวะควา มดันโลหิตสูง เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบ ริโภค โดยลดการทานเกลือหรืออาหารรสเค็มจัด รวมถึงให้ความร่วมมือกับแพทย์ในการรักษา

ที่มา .. โพสต์ทูเดย์
read more “เกลือสาเหตุหนึ่งของความดันโลหิตสูง”

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อาหารที่เซลมะเร็งโปรดปราน

0 ความคิดเห็น

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง
การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ ' แบรก อมิโ
น ' หรือเกลือทะเลแทน

b. นม
เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะไ้ด้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร


c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด
อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหัน
ไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง


d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)


e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

ที่มา : fwd
read more “อาหารที่เซลมะเร็งโปรดปราน”

คีโมกับมะเร็งและการออกกำลังกาย‏

0 ความคิดเห็น

ข้อมูลที่ดี มีประโยชน์มาก ๆ ค่ะ หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์


1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษา แล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่ มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น


2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง


3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก


4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต


5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกัน แข็งแรงขึ้น


6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่าง รวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ


7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ


8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก


9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมี ความซับซ้อนยิ่งขึ้น


10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่
อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว


12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความ เป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น


14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป


15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำ สงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต


16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง


ที่มา : fwd
read more “คีโมกับมะเร็งและการออกกำลังกาย‏”
 

Followers

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
กรุงเทพฯ, Thailand
ปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ KU58, ปริญญาโท บริหารธุรกิจ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 2548

เคล็ดลับสาวพันปีกับอาหารเพื่อสุขภาพ Copyright 2009 Shoppaholic Designed by Ipietoon Image by Tadpole's Notez