วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับชะลอความแก่

0 ความคิดเห็น

วิธีชะลอความแก่ โดย แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา

ไม่มีผู้หญิงจิตใจปกติคนใดในโลกอยากแก่ แต่น่าประหลาดที่เธอแทบไม่เว้นสักคนเดียวพยายาม “ชะลอความแก่” หรือ “พยุงความสาว” เฉพาะเรือนกายของเธอเท่านั้น เธอลืมสนิทว่ามนุษย์คือ องค์ประกอบของ “กาย” กับ “ใจ” ที่แยกกันไม่ออกจนถึงวันชีวิตดับ แม้เธอจะทำศัลยกรรมตบแต่ง ดึงผิวหน้าแล้วทาครีมกะปุกละพันบาท แต่ถ้าเธอลืมชะลอความชราทางใจเสียแล้วก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง เพราะใจมีอำนาจเหนือกายพูดอย่างสั้นที่สุดก็ต้องว่า “ใจเป็นนายของกาย” คือ ใจเป็นผู้สั่งกายใจที่ร่วงโรยไม่สามารถสั่งกายให้สดชื่นได้ คนใจร่วงโรยกายจะร่วงโรยตามอย่างแน่นอน

ทำอย่างไรใจจึงจะแจ่มใสไม่ร่วงโรย?ใจแจ่มใสคือ ใจที่สงบ พอใจตนเอง รักผู้อื่นและพร้อมที่จะให้อภัย, เป็นผู้ “ให้” มากกว่าผู้รับ, รู้สึกขอบคุณและชื่นชมแม้สิ่งเล็กน้อยธรรมดาในชีวิตประจำวัน เช่น ร่มไม้เขียวชอุ่ม, เสียงนอกร้อง, กลิ่นหอมของดอกไม้, รอยยิ้มของทารกไร้เดียงสาฯลฯ ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดี ทั้งหมดนี้มาจากประการเดียวเท่านั้นคือ เป็นคนรักตนเอง, รักผู้อื่น และรักธรรมชาติ
ใครไม่อยากแก่จึงต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. เป็นคนมีความรัก
คุณต้องรักตัวเองเสียก่อน จึงจะสามารถรักคนอื่นได้ แต่โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่า “ความรักตนเอง” ไม่ใช่ “ความหลงตนเอง” และไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ความรักตนเองคือ ความพอใจตน, เคารพตน, และรู้ค่าของตน

คนไม่รักตนเองหรือชังตนเอง จะไม่มีวันรักใครได้เลย และคนไม่รักใครย่อมไม่มีใครรักคนไม่มีใครรักย่อมรู้สึกว่าโลกนี้โหดร้าย ไร้ความยุติธรรม เขาจึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง และไม่เป็นมิตร ซึ่งจะยิ่งทำให้ใครๆ ไม่รักเขามากขึ้น ซึ่งจะทำให้เขาเคียดแค้นชิงชัง “โลก” หรือ “ผู้อื่น” ยิ่งขึ้น เป็นวงจรไม่รู้จบ

ใครไม่อยากแก่จึงต้องฝึกใจให้รักผู้อื่น หรือรักเพื่อนมนุษย์ เมื่อเรารักใครเราย่อมอยากจะ “ให้” เขา, พร้อมที่จะให้อภัยเขา, ชื่นชมและยกย่องเขา, ช่วยเหลือเขา ซึ่งล้วนเป็นความรู้สึกทางใจ “ฝ่ายเย็น” ทั้งสิ้น เป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ มีแต่จะทำให้ใจของคุณชุ่มฉ่ำและผ่องใสไม่รู้วันโรย ตรงกันข้ามกับคนไม่รักเพื่อนมนุษย์ คนเช่นนั้นขาดน้ำหล่อเลี้ยงใจ จึงเหมือนพืชขาดน้ำ นับวันแต่จะร่วงโรยและเหี่ยวเฉาไปในที่สุดคนไม่รักใครมักหน้าบึ้ง, หน้างอ, ไม่เคยยกย่องหรือชื่นชมใคร, มีชีวิตคับแค้น, คบคนผิวเผิน บางคนไม่ให้อะไรใครแม้แต่ “รอยยิ้ม” ซึ่งไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่เขาอาจมีสติปัญญาสูง มีความสามารถทำงานเก่ง แต่งานนั้นเป็นไปเพื่อ ลาภ, ยศ และสรรเสริญ ของตัวเองทั้งสิ้น

คนไม่รักใครเป็นคนขาดความรักมาแต่เด็ก จึงมองแต่แง่ลบของผู้อื่น และมีความชังบรรจุอยู่เต็มใจ ความเกลียดชัง, ความเคียดแค้น, ความอิจฉา, ความหึงหวง, รวมทั้งความไม่เป็นมิตร ที่แฝงอยู่ภายในล้วนเป็นความรู้สึกทางใจ “ฝ่ายร้อน” ที่เผาใจคนเราให้รุ่มร้อนแล้วร่วงโรย ถ้าไม่สามารถขจัดความรู้สึกทางใจฝ่ายร้อนได้ก็ป่วยการที่จะใช้ครีมกะปุกละพันบาท เพราะว่าคนที่มีความรู้สึกทางใจฝ่ายร้อนเป็นเจ้าครองเรือนใจนั้น ระบบประสาทออโตโนมิคสองฝ่าย จะทำงานไม่สมดุลกัน ทำให้ความดันโลหิตผิดปกติจากการขยายหรือหดตัวของหลอดเลือด การบีบรัดตัวของลำไส้ ฯลฯ เปลี่ยนแปลงผิดไปจากปกติ ซึ่งจะให้ผลในทางสึกหรอหรือร่วงโรยทั้งสิ้น
2. อย่าใช้ชีวิตสะดวกสบายเกินไป
ใครที่มีคนขับรถให้ นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะในห้องปรับอากาศทั้งวัน กลับบ้านมีคนรับใช้ทำให้ทุกอย่าง แม่แต่ต้องการของในอีกห้องหนึ่งก็ต้องใช้คนอื่นเดินไปหยิบให้ ทั้งไม่เคยหัดกายบริหาร หรือเล่นกีฬาแต่อย่างใด กล้ามเนื้อจะหย่อนยาน ไม่ตึงแข็งเหมือนคนได้ทำงานออกกำลังกายเป็นประจำ จึงดูแก่เร็วกว่า

ฉะนั้น ถ้าไม่อยากแก่เร็วอย่าใช้ชีวิตด้วยการ “กดปุ่ม” และอาศัยแรงงานคนอื่นตลอดเวลา เช่น ถ้าไม่ใช่เวลารีบร้อน เดินขึ้นลงบันไดดีกว่าใช้ลิฟท์ ให้กล้ามเนื้อได้ทำหน้าที่ของมันตามสมควร

3. ให้อาหารแก่กายและใจ
คุณคงทราบดีแล้วว่า อาหารประเภทใดมีประโยชน์ต่อร่างกาย จะขอย้ำแต่เพียงว่าอาหารที่เป็นศัตรูต่อสตรีคือ อาหารหวานทุกชนิด อาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว, ขนมปัง, หัวเผือก หัวมัน และอาหารมัน เพราะนอกจากจะทำให้พุงยื่น, คางสองชั้น, และ คอเป็นหนอกแล้ว ยังช่วยส่งเสริมสิวและเพิ่มไขมันในหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูง และอาจทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตันหัวใจวายตายกระทันหัน ไม่ทันได้ร่ำลาคนที่คุณรักก็ได้อีกอย่างหนึ่ง

ถ้าคุณตั้งหน้าทำงานหาเงินฝ่ายเดียว จนไม่มีเวลาเหลือไว้สำหรับอ่านหนังสือบำรุงสมอง และเสพย์อาหารใจจากสิ่งอันเป็นสุนทรีย์ทั้งปวง คือไม่เคยมีเวลาหนีเสียงยวดยาน, หนีอากาศเสีย และน้ำเน่าไปชื่นชมกับต้นไม้เขียวชอุ่ม, สายลม และแสงแดดบริสุทธิ์นอกกรุงเสียบ้าง คุณจะแก่เร็ว เพราะความตึงเครียดทั้งกายและใจร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษทั้งหลาย ช่วยกันซ้ำเติมให้ร่างกายของคุณสึกหรอเร็วขึ้น

4. เลิกกังวล
คนขี้กังวลทั้งกายและใจจะตึงเครียดทำให้ปวดศีรษะ (เพราะกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยเกร็งตัว) ปวดหลังและปวดข้อ (เพราะกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแขนขาเกร็งตัว) อ่อนเพลีย (เพราะกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายทำงานมากเกินไป) ท้องอืดและท้องผูก (เพราะหูรูดของลำไส้บีบรัด) ฯลฯ ผลร้ายอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนขี้กังวลมักขมวดคิ้วหน้าเครียด กล้ามเนื้อของใบหน้าทำงานมากเกินไป จึงเกิดริ้วรอยและเหี่ยวย่นเร็ว

5. มีงานอดิเรก
คุณทราบหรือไม่ว่า คุณสุขภาพจิตดีทุกคนมีงานอดิเรก ถ้าใครมีพฤติกรรมหลักอยู่เพียง 3 อย่างคือ กิน, นอน, และทำงาน เมื่อใกล้วัยร่วงโรยทำงานวิชาชีพไม่ได้แล้วจะรู้สึกสูญเสีย ขาดสิ่งช่วยค้ำจุนความนับถือและภูมิใจตนเอง คนที่ขาดสิ่งค้ำจุนใจจะเศร้าง่ายในวัยชรา และความเศร้าย่อมทำให้ใจและกายร่วงโรยเร็วกว่าที่ควร

6. “ให้” ผู้อื่นทุกวัน
การให้เป็นความสุขมากกว่าการรับ เพราะการให้ทำให้ใจอิ่มเอิบ ซึ่งทำให้เกิดผลพลอยได้คือ ป้องกันความร่วงโรยของกายอีกด้วย ใจที่อิ่มเอิบย่อมทำให้ระบบประสาทออโตโนมิคทำหน้าที่ได้ดี จึงทำให้สีหน้า แววตา และผิวพรรณสดใส แถมยังมีส่วนช่วยรักษาอาการเศร้าได้ด้วย

การให้มิได้หมายความเฉพาะการให้ “วัตถุ” อย่างที่คนส่วนมากเข้าใจ เรามีสมบัติอย่างอื่นที่จะให้ได้มากมาย ให้เท่าไรไม่รู้จักหมด สมบัตินั้นได้แก่น้ำใจ ไมตรีจิต ความเกื้อกูล ความยกย่อง และชื่นชม ฯลฯ เราทุกคนไม่ว่ายากไร้เพียงใดสามารถให้สิ่งเหล่านี้แก่ใครๆ ได้ทุกวันและตลอดชีวิต

ผู้เขียนขอเน้นเป็นพิเศษว่า คุณ “ยกย่อง” ได้ แต่อย่า “เยินยอ” เพราะ “ยกย่อง” เป็นความสุจริต แต่ “เยินยอ” เป็นความทุจริตควรถามตัวเองก่อนนอนว่า “วันนี้ฉันได้ให้อะไรแก่ใครหรือยัง?” ถ้ายังพรุ่งนี้คุณจะให้อะไรแก่ใครบ้าง ขอย้ำว่า คุณมีอะไรจะให้ผู้อื่นได้เสมอทุกวันและตลอดชีวิต อย่างน้อยที่สุดก็ “คำพูด” ที่ให้ความรู้สึกดีงามทางใจแก่เขา และ “รอยยิ้ม” อันเมตตาอบอุ่นและปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่อย่าลืมว่า รอยยิ้มนั้นจะต้องไม่ขัดกับแววตาและวาจาของคุณ เพราะเพียงแต่แววตาอย่างเดียวก็ฟ้องความรู้สึกจากใจได้ คุณคงไม่เป็นอย่างผู้หญิงบางคนที่ผู้เขียนเคยพบ และคุณเองก็อาจเคยผ่านมาบ้าง เธอผู้นั้นยิ้มสวยเหลือเกิน จนหลับตานึกถึงเธอทีไรมักเห็นรอยยิ้มแสนหวานกับฟันซี่เล็กขาวสวยของเธอ แต่ยามเจรจาเธอช่างหาถ้อยคำประชดเสียดสีที่แสนสุภาพมาเชือดเฉือนหัวใจคนฟังได้เจ็บแสบดีนัก

7. อย่าเป็นทาสของอดีต
คนจำนวนมากไม่มีความสุขและใจร่วงโรย เพราะชอบคร่ำครวญหรือหวนหาอดีตไม่รู้จักจับสิ้น แล้วก็สงสารตัวเองไม่รู้หาย คนเช่นนี้จึงมีแต่ความท้อแท้จะถดถอย คนสุขภาพจิตดีจะไม่ตกเป็นทาสของอดีตอดีตเป็นเพียงสิ่งที่เราเดินผ่านไปบนถนนแห่งชีวิต ซึ่งเป็นถนนต้องห้ามคือ คุณเดินผ่านได้เพียงครั้งเดียว เหตุการณ์ในอดีตไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใด ถ้าเรารู้จักเป็นนายมัน มันจะมีประโยชน์ต่อเราเสมอไม่มีข้อยกเว้น จงให้มันรับใช้คุณคือ ใช้อดีตให้เป็นทาสของอนาคต ในโลกแห่งความจริง อดีตไม่เคยกลับมา เพราะอดีตคือความเป็นปัจจุบันที่ตายไปแล้ว มันย่อมหมดฤทธิ์เดช มัน “ไม่มีตัวตน” แล้ว ไฉนคุณจะยังปล่อยใจให้เป็นทาสของมันอยู่อีกเล่า คนมีใจเป็นทาสของอดีตย่อมมืดมนและหม่นไหม้ เป็นใจที่ยังไม่หลุดพ้น เพราะหลงผูกพันอยู่กับ “ความไม่มีตัวตน” เสพติดรสข่มขื่นของอดีตคนเช่นนั้นจึงร่วงโรยเร็ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณปฏิบัติได้ทุกข้อข้างต้น ในที่สุดวันหนึ่งคุณก็หนีไม่พ้น ต้องกลายเป็นหญิงแก่ผิวเหี่ยวย่นเข้าจนได้ ทำอย่างไรดีเล่าใจจึงจะไม่เหี่ยวแห้งตามผิวไปด้วย ทำได้อย่างเดียวคือ ยอมรับสภาพความจริง เพราะการยอมรับสภาพความจริงของภาวะทุกอย่างที่ชีวิตเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นยารักษาความกังวล หวาดหวั่นได้ชงัดนัก จึงเป็นวิธีที่ดีสุดที่ทำให้ใจสงบ และใจที่สงบย่อมแจ่มใสไม่ร่วงโรยให้กำลังใจแก่ตัวเองเถิดว่า อายุแต่ละปีที่เพิ่มขึ้นย่อมเป็นสัดส่วนกับคุณค่าของตัวคุณคือ ยิ่งอายุมากขึ้น คุณก็ยิ่งฉลาดรอบรู้และสามารถมากขึ้น อย่างที่ฝรั่งพูดว่า “Age grows with wisdom” นอกจากนั้น ทุกปีที่ผ่านไป คุณยิ่งมีเพื่อนมากขึ้น ได้รับความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นได้ให้ทั้งคุณและประโยชน์แก่ผู้อื่นมากขึ้น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คนมีปัญญาย่อมเห็นว่าล้วนมีค่าทั้งต่อตนเองและสังคมส่วนรวมมากกว่าความเต่งตึงของผิวกายอย่างเทียบกันไม่ได้

ที่มา : http://www.thammavanit.com/
read more “เคล็ดลับชะลอความแก่”

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กินบะหมี่สำเร็จรูปอย่างไรให้ปลอดภัย

0 ความคิดเห็น

"ใครไม่เคยทาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยกมือขึ้น?"

..................ถ้าจะมีคนยกมือตอบว่า ไม่เค้ย ไม่เคย ก็สงสัยว่าจะเป็นเด็กเล็กที่ยังทานอาหารเส้นไม่เป็นซะล่ะมากกว่า โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดแบบทุกวันนี้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาจจะกำลังกลายเป็น อาหารประจำวันของใครหลาย ๆ คน เชื่อหรือไม่ คนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีละกว่า 2 พันล้านซอง เฉลี่ยวันละ 8 ล้านซอง (ตุลาคม 2550) ปัญหาไม่ได้จบลงแค่นั้น ที่สำคัญก็คือคนไทยชอบกินเปล่า ๆ แบบว่า ฉีกซองเครื่องปรุง กดน้ำร้อน ปิดฝาสองนาที ซวบ ซวบ จบ นานวันเข้าก็เกิดอาการ ขาดสารอาหาร อ้วน ความดันสูง ไตเสื่อม (อ้วน.. แต่ขาดสารอาหาร??? มันยังไงกัน)
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่ประกอบด้วยแป้งสาลี 60-70% ไขมันในเครื่องปรุง 15-20% ที่เหลือเป็นเกลือ และผงชูรส ถ้าเรารับประทาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มากกว่า 1 ซองหรือ 1 ถ้วยต่อวัน เราก็จะได้โซเดียม (ก็เกลือนั้นแหละ) เกินความต้องการของร่างกายต่อวัน ไปถึง 50-100 % ซึ่งจะทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ประกอบกับส่วนประกอบหลักเป็นแป้ง ถ้าคุณทานแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร่างกายก็จะได้รับแต่แป้ง ๆ ๆ สุดท้ายก็อ้วนนะสิ (ข้อมูลจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล)
เอาข้อมูลมาจาระไนให้ฟังกันขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะมาชวนก่อม๊อบรณรงค์ ให้เลิกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประเด็นอยู่ตรงที่ไหน ๆ ก็หนีไม่พ้น ก็หันมาใส่ใจ เลือกซื้อให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนซื้ออ่านฉลากสักนิด ว่าเติมสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ รึเปล่า แต่ถ้าจะให้ดีควรเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผักทุกครั้งที่ทาน
วิธีปรุงก็สำคัญไม่แพ้กัน หลาย ๆ คนยอมที่จะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน ด้วยความที่จะได้เส้นที่เหนียวนุ่มน่ากินกว่า แต่ชอบที่จะใช้น้ำในการต้มน้อย ๆ (รสชาติจะได้เข้มข้น) ใส่เครื่องปรุงลงไปตั้งแต่ตอนต้มด้วย เครื่องปรุงจะได้เข้าเนื้อ (ว่าไปนั่น) แต่หารู้ไม่ว่า การต้มแบบนั้นเป็นวิธีการที่ผิดมหันต์ คุณจะได้รับโซเดียม ไปเต็ม ๆ ซึ่งขอเสียได้บอกไปแล้วตั้นแต่ตอนต้น และผงเครื่องปรุง ที่ใส่ลงไปเมื่อโดนความร้อนสูง จะแปรสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งส่งผลเสีย ต่อการทำงานของร่างกายอีกต่างหาก
วิธีการต้มที่ถูกต้องคือ ต้มครั้งแรกด้วยปริมาณน้ำพอสมควร จากนั้นเทน้ำจากการต้มรอบแรกทิ้งไป ใส่น้ำลงไปใหม่ ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ใส่ไข่ เนื้อสัตว์และผัก เทใส่ชามจากนั้นจึงค่อย เทเครื่องปรุงใส่ในชาม ซึ่งถ้าจะให้ดี คุณอาจใช้เครื่องปรุงเพียงครึ่งซอง หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรรับประทานแต่
บะหมี่สำเร็จรูปอย่างเดียว ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพิ่มเงินอีกนิด สลับไปทานอาหารจานเดียวอย่างอื่นบ้าง อาจจะเป็น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน อาหารไทยมีให้เลือกกินตั้งมากมาย เพื่อสุขภาพในระยะยาว
read more “กินบะหมี่สำเร็จรูปอย่างไรให้ปลอดภัย”

ข้าวเหนียวบำรุงผิวพรรณ

0 ความคิดเห็น

ข้าวเหนียว เป็นธัญพืชที่รองลงมาจากข้าวที่คนเรานิยมรับประทานกัน เพราะให้ความเหนียว ความมัน มีรสชาติที่น่ารับประทาน ความเชื่อของคนโบราณเชื่อว่า ข้าวเหนียวเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ ซึ่งมีทั้งข้าวใหม่และข้าว ข้าวใหม่มี คุณสมบัติออกฤทธิ์ร้อน นิยมปลูกในนาลุ่มที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ หรืออาจจะปลูกในที่ดอนก็ได้ที่เรียกว่าข้าวไร่ทางภาคเหนือ

พันธุ์ของข้าวเหนียวมีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ แต่ที่คนส่วนใหญ่เห็นจะมีอยู่สองสี คือ ข้าวเหนียวที่มีสีขาว และข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวเร็วเม็ดจะแข็งกว่า ข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวช้า แต่คนโบราณจะนิยมนำข้าวเหนียว ที่เก็บได้ใหม่หลังจากที่สีแล้วไปฝากกัน ซึ่งทำให้ผู้รับรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองได้ทำนาเองและมีความปราบปลื้มใจมาก ถึงแม้ว่าจะมันจะไม่เยอะก็ตาม

การหุงต้มข้าวเหนียวจะทำเช่นเดียวกับข้าวสารไม่ได้ เพราะข้าวเหนียวมีความแน่นมากกว่า ในการหุงต้มจึงนำข้าวเหนียวแช่น้ำเสียก่อน ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง หากมีความต้องการที่จะใช้ในเวลารวดเร็วใช้น้ำอุ่นแช่ การนำสารส้มเพียงเล็กน้อย มาใส่ลงในข้าวเหนียวขณะที่แช่ จะช่วยให้ข้าวเหนียวขาวสะอาดขึ้น

เราจะเห็นได้ว่าคนภาคอีสานส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานข้าวเหนียวกันมากกว่าข้าวเจ้า เพราะข้าวเหนียวรับประทาน แล้วจะรู้สึกอิ่มท้องมากกว่าและอยู่ได้นาน แต่การรับประทานมากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการไฟธาตุพิการได้ง่าย ผู้สูงอายุไม่ควรที่จะรับประทานข้าวเหนียวให้มากเพราะจะทำให้ติดคอได้

ข้าวเหนียวสามารถแปรรูปไปเป็นอาหารอื่นได้ ส่วนใหญ่จะทำเป็นขนมมากกว่า เช่นเทศกาลตรุษจีนก็ทำขนมแข่ง เทศกาลออกพรรษาคนในสมัยก่อนก็จะทำข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มผัด ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวนึ่งกิน กับส้มตำ หรืออื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากข้าวเหนียวจะมีประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว ยังมี ประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เช่น- บำรุงร่างกาย- ช่วยขับลมในร่างกาย- สร้างสารอาหาร- เสริมสมรรถภาพกระเพาะอาหาร- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น

โดยการ นำข้าวสารแช่ให้นุ่มแล้วโดยปั่นในเครื่องปั่น ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 นำมาพอกกับผิวหน้า ผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นช่วยลดริ้วรอยจุดด่างดำ ให้ค่อยๆ จางหายไป ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งไม่ว่าจะ เป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็มีประโยชน์กับร่างกายเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักถึงคุณค่าและรู้จักที่จะนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อไป

ที่มา : teenee.com
read more “ข้าวเหนียวบำรุงผิวพรรณ”

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"โซเดียม" อันตรายที่ซ่อนอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป"

0 ความคิดเห็น

ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ อะไรๆ ก็แพง นะ อาหารที่สะดวกซื้อและราคาถูกที่สุด ณ ตอนนี้ คงหนี้ไม่พ้น .....คุณบะหมี่....ใช่มั๊ย...แต่บะหมี่ในที่นี้.....มิใช่ดารา...แต่มันคืออาหารที่คนนิยมกันไม่ว่าชาติไหนๆๆๆ ก็ดี....สะดวกทุกที่ ....ทุกเวลา

1 ในข่าวใหญ่มีข่าวกรณี "มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค" เผยแพร่ผลการสำรวจปริมาณ "โซเดียม" อันตรายที่ซ่อนอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งพบว่า บะหมี่สำเร็จรูปส่วนใหญ่มีปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรสมากกว่าปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน

จุดเด่น ของบะหมี่สำเร็จรูปนั้นเป็นอาหารปรุงกินง่าย ราคาถูก แต่ข้อเสียสำคัญ คือไม่มีสารอาหาร ทั้งยังส่งผลเสียต่อสุขภาพถ้าบริโภคมากไป ความห่วงใยว่าบะหมี่สำเร็จรูปจะเป็นภัยเงียบไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมๆ กับยอดขายบะหมี่สำเร็จรูปที่พุ่งสูงถึง 6,500 ล้านซอง/ถ้วยต่อปี
ร่างกายไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการกินบะหมี่สำเร็จรูป

สมาคมผู้บริโภคออสเตรเลีย(เอซีเอ) สำรวจพบว่า บะหมี่สำเร็จรูป 1 ซองมี "ไขมัน" มากพอๆ กับ "อาหารขยะ" จำพวกมันฝรั่งทอด จำนวน 1 ห่อเล็ก หรือเท่ากับพิซซ่า 1 ชิ้นเล็ก รวมทั้งมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าอาหารขยะอีกด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเด็ก ที่สำคัญ "น้ำมัน" ทอดบะหมี่สำเร็จรูปมักเป็นน้ำมันพืชราคาถูก ซึ่งมีคุณสมบัติแตกตัวเป็น "กรดไขมันชนิดทรานส์" ที่เป็น 1 ในปัจจุบันกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ

ตามความเห็นของเอซีเอ ร่างกายจึงไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการกินบะหมี่สำเร็จรูป สิ่งที่ได้คืออาหารไร้โปรตีน เต็มไปด้วยไขมัน แป้งคาร์โบไฮเดรต สารเคมี ผงชูรส และโซเดียม ในปี 2548 คาดว่า คนไทยบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปบรรจุซอง 60 กรัม มากมโหฬารถึง 2,000 ล้านซอง คิดเป็นเงิน 9,500 ล้านบาท ภัยเงียบสำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่ในบะหมี่เหล่านี้ก็คือ "โซเดียม" ในซองเครื่องปรุงรส
บะหมี่ร้าย เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และทำให้ไตทำงานหนัก

ตามข้อแนะนำของบัญชีสารอาหารกำหนดว่า คนไทยควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ขณะนี้คนไทยบริโภคล้ำหน้าตัวเลขดังกล่าวไปแล้ว โซเดียมในบะหมี่สำเร็จรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบะหมี่สำเร็จรูปแบบซอง "บิ๊กแพ็ก" จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และทำให้ไตทำงานหนัก เว็บไซต์ข่าวการแพทย์ WebMD ของสหรัฐรายงานว่า สเตฟานี่ บรู๊กส์ นักโภชนาการในซานฟรานซิสโกเตือนว่า คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ป่วยด้วยโรคหัวใจ กินยาขับปัสสาวะ และยารักษาอาการซึมเศร้าบางชนิดไม่ควรรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปโดยเด็ดขาด เพราะมีโซเดียมกับผงชูรสสูง
บะหมี่สำเร็จรูปใส่สี ใส่สารทำให้กรอบ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเหตุที่ไม่ค่อยเกิดกรณีกินบะหมี่สำเร็จรูปมากๆ แล้วป่วย เป็นเพราะผู้บริโภคสินค้าชนิดนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ซึ่งร่างกายยังแข็งแรง ข้อสงสัยอีกประการเกี่ยวกับพิษภัยของบะหมี่สำเร็จรูปที่แพทย์เตือนไว้ก็คือ การที่บะหมี่สำเร็จรูปใส่สี ใส่สารทำให้กรอบ และผงชูรสในปริมาณมากๆ รวมทั้งถูกทอดในน้ำมันซึ่งผ่านการทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง อาจจะทำให้เกิดการสะสมของ "คาร์บอน" ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งขึ้นมาในสินค้าประเภทนี้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น บะหมี่สำเร็จรูปยังใส่ "ผงชูรส" ซึ่งเป็นสารเพิ่มรสชาติมากเกินไป ในกรณีของผู้ที่แพ้ผงชูรสเมื่อรับประทานเข้าไป อาจเกิดอาการเหนื่อยอ่อน ปวดหัว หรือมีไข้ด้วยสภาพเศรษฐกิจบวกกับอุปนิสัยเคยชินกับการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปย่อมทำให้การละเลิกรับประทานสินค้าชนิดนี้เป็นไปได้ยาก แต่ถ้าคิดจะรับประทานก็ควรใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อลด "โทษ" ที่ซุกซ่อนอยู่ในบะหมี่สำเร็จรูป เช่น ควรต้มให้สุก อย่ากินเปล่าๆ โดยไม่เติมน้ำ เพราะบะหมี่จะเข้าไปพองในกระเพาะอาจทำให้เกิดอาการจุกแน่นได้นอกจากนี้ ควรใส่ไข่และผักลงไปด้วยทุกครั้งเพื่อเพิ่มโปรตีนกับวิตามิน รวมทั้งเมื่อต้มเสร็จแล้วให้เทน้ำซุปออกสักครึ่งหนึ่งเพื่อลดปริมาณสารเคมีไม่พึ่งประสงค์ในน้ำซุป
*** รู้เช่นนี้แล้ว...ยังสนใจที่ทาน บะหมี่กันอีกเปล่าค่ะ....***

read more “"โซเดียม" อันตรายที่ซ่อนอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป"”

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อุณหภูมิในห้องทำงาน

0 ความคิดเห็น

เคยสงสัยไหมว่าในขณะที่เรานั่งหนาวเหน็บจนอยากจะลุกไปปรับแอร์ แต่เพื่อนร่วมงานที่นั่งโต๊ะข้างๆ กลับไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเย็นแบบที่เราเป็นเลยสักนิด Live & Learnเหตุที่แต่ละคนสามารถทนความหนาวได้แตกต่างกันก็เพราะมีพื้นฐานภายในร่างกายไม่เหมือนกัน ดังนี้

น้ำหนักตัวมีส่วน
คนที่มีน้ำหนักตัวและไขมันมากกว่า จะมีไขมันเป็นเสมือนฉนวนกันความหนาวมากกว่าสาวที่ผอมบาง

หญิงหรือชายสำคัญไฉน
ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะขี้หนาวมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากภาวะการทำงานของต่อมไทรอยด์แตกต่างกัน และความได้เปรียบของมวลกล้ามเนื้อของผู้ชายที่มีมากกว่า (1 ใน 3 ของพลังงานที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายมาจากกล้ามเนื้อ) ทำให้หนุ่มๆ ออฟฟิศไม่ค่อยสะทกสะท้านกับความเย็นเหมือนสาวๆ สักเท่าไร แต่ถ้าสาวๆ คนไหนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้วก็จะช่วยให้ร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น สามารถปรับตัวรับอุณหภูมิในห้องแอร์ได้ดีกว่าเช่นกัน แต่ในช่วงวันก่อนมีประจำเดือน อุณหภูมิในร่างกายของสาวๆ จะไม่คงที่และอาจทำให้เกิดอาการขี้หนาวมากกว่าปกติ

อายุต่างก็หนาวต่างกัน
ปัจจัยของช่วงอายุที่แตกต่างกัน ทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายของแต่ละคนต่างกันไปโดยปริยาย คนในวัยใกล้หมดประจำเดือนอาจมีอาการร้อนๆ หนาวๆ เพราะระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด ทำให้รู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวได้

กินดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ควรกินอาหารให้ครบทุกมื้อเพื่อที่ร่างกายจะได้มีพลังงานต่อสู้กับอากาศเย็นและควรเพิ่มรายการของโปรตีน แมกนีเซียม (ข้าวกล้อง ข้าวโพด ผักโขม ผักตังกุย กล้วย) ที่ช่วยเรื่องระบบการไหลเวียนของเลือด โพแทสเซียม (องุ่น ผักสด เมล็ดธัญพืชและผลไม้แห้ง) ช่วยในการทำงานของระบบประสาท นอกจากนี้ใบโหระพาสด วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก ก็ช่วยเพิ่มเกล็ดเลือดให้แก่ร่างกาย ซึ่งถ้าร่างกายมีเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดเพิ่มมากขึ้น แรงต้านกับอากาศหนาวก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติ การกินพืชผักใบเขียวและอาหารประเภทถั่วเหลืองก็ได้ผลดีเหมือนกัน

ยิ่งเครียดยิ่งหนาว
เชื่อหรือไม่ว่า ความเครียดเป็นบ่อเกิดที่ทำให้คุณกลายเป็นคนขี้หนาวได้ สาเหตุก็เพราะระหว่างที่เครียดจัดๆ นั้น ร่างกายของคนเราจะลดประสิทธิภาพในการหมุนเวียนโลหิตในร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัวเรื่องการออกกำลังกายและการกินอาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเห็นผล (แต่ได้ผลและมีประโยชน์ในระยะยาว) แต่สำหรับคนที่อยากตัวอุ่นขึ้นมาทันใจ เพราะทนไม่ไหวกับความเย็นจากแอร์ในห้องที่คอยบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงานต้องฟังทางออกง่ายๆ แต่เห็นผลทันใจดังนี้

เลือกน้ำอุ่นและจิบชา
สำรวจตัวเองเสียหน่อยว่าติดการดื่มน้ำเย็นหรือเปล่า ถ้าใช่ ควรฝึกนิสัยในการดื่มน้ำอุ่นๆ (ถ้าไม่ชิน เริ่มฝึกจากน้ำอุณหภูมิธรรมดา) เมื่อต้องทำงานในห้องที่มีอากาศเย็น หรือการจิบชาเปปเปอร์มินต์ ลาเวนเดอร์ ที่มีกลิ่นอโรมาช่วยในเรื่องการผ่อนคลายความเครียด รวมถึงน้ำขิง น้ำตะไคร้อุ่นๆ ที่มีสรรพคุณช่วยให้เลือดไปหล่อเลี้ยงที่ผิวหนังได้มากขึ้นเพราะนอกจากจะช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้อุ่นขึ้นแล้ว การถือแก้วน้ำอุ่นอยู่ในมือสักพักหนึ่งยังช่วยให้นิ้วและฝ่ามือคลายหนาวได้อย่างน่าพอใจด้วย

ปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะ
ศาสตราจารย์อลัน เฮดจ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้ทำการทดลองเรื่องอุณหภูมิของห้องที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของคนในออฟฟิศว่าในอุณหภูมิประมาณ 28 องศาเซลเซียส พนักงานสามารถพิมพ์งานได้ประสิทธิภาพดี เร็ว และผิดน้อยกว่าพนักงานที่นั่งทำงานในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียสถึงสองเท่า และการศึกษาได้ข้อสรุปออกมาอีกว่า อุณหภูมิระหว่าง 22 - 26 องศา เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดทั้งกับร่างกายของผู้หญิงและผู้ชาย

อย่างนี้ต้องเท้าอุ่นไว้ก่อน
ศาสตราจารย์อลัน เฮดจ์ ยังบอกอีกว่า "เชื่อหรือไม่ว่าบริเวณข้อเท้าเป็นส่วนที่ไวต่อความเย็นมากที่สุดที่หนึ่งในร่างกาย เพราะฉะนั้นสาวๆ ที่ชอบใส่รองเท้าแบบเปลือยมาทำงานควรสวมถุงเท้าเพื่อกันความเย็นไว้ก็จะช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นได้ ส่วนการเดินหรือขยับเขยื้อนร่างกายบ้างระหว่างทำงานถือเป็นการวอร์มอัพร่างกายไปในตัว ช่วยสร้างความอบอุ่นได้อีกทางหนึ่ง"

ที่มา: ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ในสกู๊ป CAREER FOCUS
read more “อุณหภูมิในห้องทำงาน”

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

0 ความคิดเห็น
โรคที่ผู้หญิงเป็นกันมาก(กระเพาะปัสสาวะอักเสบ)

โรคของผู้หญิง หมายความว่า ผู้หญิงเป็นกันมาก มักจะเกิดกับผู้หญิงทำงาน หรือนักศึกษา คนที่ต้องอยู่ในสายตาของผู้อื่น เป็นเพราะไม่เกิดกับตัวเอง ยังไม่สนใจ พอเป็นแล้วต้องปวดทรมานมาก โรคที่ว่านี้คือ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ พอปวดปัสสาวะแล้วไม่ได้ถ่าย ทนรอจนกว่าจะได้กลับบ้าน หรือหมดเวลาทำงาน หรือเวลาเรียน ไม่กล้าลุกออกไปในขณะที่เข้าประชุม ติดต่อกับลูกค้า กำลังเดินทาง หรืออยู่ในห้องเรียนผู้หญิงขี้อาย ขี้เกรงใจ ไม่กล้าลุกออกจากห้องเรียน หรือที่ประชุม ทนปวดปัสสาวะจนหมดเวลาเรียน หรือจนเลิกประชุม บางทีกำลังอยู่บนรถ รถติดค้างอยู่ในรถนาน ปวดท้องปัสสาวะมาก แทนที่จะลุกออกไปเข้าห้องน้ำ กลับแก้ปัญหาด้วยการไม่ดื่มน้ำ เกิดปัญหาซ้ำซ้อนมากขึ้น


อาการแสดงว่า กระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือ ปวดปัสสาวะมาก เมื่อถ่ายจะปวดมาก ปวดอยู่ตลอดเวลา ได้ถ่ายแล้วยังไม่หายปวด ต้องเข้าห้องน้ำตลอดเวลา บางทีไม่ลุกออกจากโถเลย นั่งอยู่อย่างนั้น ถ่ายบ่อยมากจนมีหยดเลือดออกมา ถ้าเป็นระยะจวนเวลามีประจำเดือน จะไม่แน่ใจว่าเป็นเลือดประจำเดือน หรือเลือดจากทางเดินปัสสาวะการปวดมากๆ แต่ไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่มีน้ำปัสสาวะให้กลั่นออก จึงมีเลือดออกมาก จะต้องไปหาแพทย์กินยาและดื่มน้ำมากๆ เมื่อดื่มน้ำมากให้มีปัสสาวะ เลือดจะหยุดไปเอง

การดื่มน้ำมากๆ จึงทำให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใสยิ่งถ่ายปัสสาวะบ่อย ยิ่งต้องดื่มน้ำมากๆ มีขวดน้ำติดตัวเมื่อจะออกจากบ้าน ต้องรักษาสุขภาพไว้ก่อนไม่ต้องอายในเรื่องไม่ควรอาย


ผู้หญิงเกือบทุกคนเคยกระเพาะปัสสาวะอักเสบน่าจะหมดสมัยผู้หญิงขี้อายได้แล้ว ถ้าจะทำงานได้ดี จะต้องมีสุขภาพดี ไม่มีอาการเจ็บปวด หรือไม่สบายที่ไหนเลยการปวดท้องปัสสาวะตลอดเวลา เป็นอาการที่ทรมานมาก ต้องได้รับการรักษาโดยเร็วไตจะทำงานได้ดีเมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ การอดน้ำ หรือดื่มน้ำน้อย จะทำให้ปัสสาวะมีสีเข้ม เมื่อมีสิ่งที่เป็นอันตรายอยู่ในร่างกาย ไตจะไม่อาจกรองออกได้หมด เมื่อเกิดอักเสบที่ส่วนใดในร่างกายก็ตาม จะต้องดื่มน้ำให้มาก จึงจะขับของเสียออกจากร่างกายได้มากและเร็ว

ที่มา : คม ชัด ลึก
read more “กระเพาะปัสสาวะอักเสบ”
 

Followers

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
กรุงเทพฯ, Thailand
ปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ KU58, ปริญญาโท บริหารธุรกิจ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 2548

เคล็ดลับสาวพันปีกับอาหารเพื่อสุขภาพ Copyright 2009 Shoppaholic Designed by Ipietoon Image by Tadpole's Notez