วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

10 ความลับสุดยอดที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับร้านริมทาง

0 ความคิดเห็น

เจ้าของร้านอาหาร มีประสบการณ์ต่างๆ มา share ให้อ่านเล่นๆลองสังเกตดูว่า มันจริงมั้ย

1. แก้วน้ำล้างแบบไม่ใช้น้ำยาล้างจานเกือบทุกร้าน 90% จะล้างแบบจ้วงๆ น้ำสักสองสามครั้งเป็นอันเสร็จพิธีแล้วมันจะสะอาดมั้ยเนี่ย ยิ่งหวัด2009กำลังระบาดนะ

2. ประหยัดน้ำล้างจานกันจัง กะละมังเดียว ล้างเกือบ 200 จานร้านเหล่านี้มักมีแหล่งน้ำน้อย หรือต้องจ่ายตังค่าน้ำแพง

3. ตะเกียบเก๊าส์เก่าส์ บางร้านเป็นพลาสติกดั๊มดำ บางร่านไม้ไผ่ขึ้นราดำ เศร้าง่ะ

4. กระทะผัดแล้วผัดอีก จนกลิ่นไหม้ติด เลย ระหว่างจานแค่ราดน้ำแล้วใช้ตะหลิวเขี่ยกระทะกังเชี๊ยะ เชี๊ยะ เชี๊ยะ เสร็จเรียกว่าไม่ล้งไม่ล้างมันและ

5. น้ำเปล่าที่ให้กินฟรีน่ะ น้ำก๊อกล้วนๆ บางร้านใจดีใช้น้ำก๊อกมาต้มกะใบชา โอเคละ น้ำประปาดื่มได้

6. ทำไมมีแต่ข้าวเสาไห้ง่ะ มีข้าวหอมมะลิบ้างไหมครับ หรือว่าคนรุ่นใหม่กินข้าวหอมมะลิไม่เป็น???

7. เกือบทุกร้านไม่ใช้น้ำปลาทิพรสจริง เอาน้ำปลาถูกๆมากรอกใส่ขวดทิพรสเฉย ถ้าโชคดีก็เจอร้านที่เปลี่ยนพริกทุกวัน โชคร้ายเจอพริกเน่าข้ามปี

8. ผัดกะเพรายอดฮิตของทุกท่าน มีส่วนผสมของผงชูรสประมาณ 1 ช้อนชา (ถ้าคุณกินทุกวัน ปีนึง 300 กว่าช้อนชา) มิน่าแชมพูหยุดการหลุดร่วงของเส้นผมจึงขายดี๊ ดีอีกอย่างมีร้านไหนล้างกะเพราบ้าง สังเกตมาหลายร้านแล้ว เด็ดจากกิ่งมาผัดไม่เคยเห็นร้านไหนล้างเลย แล้วขี้ดิน สารพิษ ฯลฯ เต็มๆ

9. น้ำมันที่ใช้ผัด เป็นน้ำมันเก่า (ผ่านการทอดจนใช้ไม่ได้แล้ว) เค้าเก็บรวบรวมใส่ปี๊บเก่าๆ (ขึ้นสนิม) ขายต่อให้พ่อค้านำไปผ่านกรรมวิธีแล้วนำมาแบ่งถุงขาย (มะเร็ง แน่นอน)

10. เคยกินหมูนุ่มๆ เนื้อนุ่มๆมั้ย ทั้งหมดนั้นเค้าไม่ได้หมักด้วยกรรมวิธีธรรมชาติหรอกใช้ผงปิศาจ (เพื่อนเรียกผงปิศาจ) มาหมักให้นุ่มเร็วๆ ที่สำคัญไม่มียี่ห้อไหนผ่านการรับรองด้วยอิอิ อยากรู้ว่าแรงแค่ไหน ให้ตักใส่มือสัก 1/4ช้อนชาครับหยดน้ำลงไป1หยด กำไว้ 1 นาที หนังมือไม่ลอกก็แสดงว่าคุณไม่ใช่มนุษย์


read more “10 ความลับสุดยอดที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับร้านริมทาง”

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง

0 ความคิดเห็น
10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง
กรมอนามัย วิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เ พื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. มะขามป้อม
2. ฝรั่งกลมสาลี่
3. ฝรั่งไร้เมล็ด
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล
ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี ทั้ง นี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อใ ห้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี.

ขอบคุณเนื้อหาจาก ลิซ่า
read more “10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง”

จำเป็นแค่ไหนที่ต้องตรวจภายใน

0 ความคิดเห็น

รศ.พญ.มานี ปิยะอนันต์ หัวหน้า ภ.สูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา

อยู่ดีๆไปขึ้นขาหยั่งทำไม จำเป็นขนาดไหน ? คำถามคาใจของใครหลายคน การตรวจภายในแท้จริงแล้ว คือ การตรวจอวัยวะของระบบสืบพันธุ์ในสตรี โดย "ตรวจทางช่องคลอด" เพื่อหาความผิดปกติ อาทิ การติดเชื้อ เนื้องอก และมะเร็ง

คุณผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเขินอาย หรือไม่ก็กลัวไปเลย ยิ่งในรายที่ไม่เคยตรวจภายในมาก่อนไม่ต้องพูดถึง แต่ไม่ต้องห่วง เพราะการตรวจแต่ละครั้งสูติแพทย์จะปกปิดคนไข้อย่างมิดชิด เปิดเฉพาะส่วนที่จะตรวจเท่านั้น

รู้จักอวัยวะในระบบสืบพันธุ์สตรี ประกอบด้วย (จากข้างนอกไปข้างใน)
- อวัยวะเพศภายนอก
- ช่องคลอด
- ปากมดลูก
- มดลูก
- ปีกมดลูก ซึ่งรวมรังไข่ด้วย

ธรรมชาติของการสืบพันธุ์เริ่มจาก รังไข่ของผู้หญิงสร้างไข่ จากนั้นจะเกิดการตกไข่ 1 ฟองทุกเดือน ไข่นี้ก็จะเข้ามายังท่อนำไข่แล้วหยุดคอยตัวอสุจิอยู่ตรงนี้ เมื่อมีการร่วมเพศตัวอสุจิหลายสิบล้าน หรือ เป็นร้อยล้านตัวจะถูกปล่อยออกมาตรงบริเวณปากมดลูก ตัวอสุจิจำนวนหนึ่งจะเข้า ปากมดลูก ว่ายน้ำเข้าไปในโพรงมดลูกขึ้นไปยังท่อนำไข่เพื่อหาไข่ซึ่งคอยอสุจิอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะเกิดการปฎิสนธิ เป็นตัวอ่อนเคลื่อนลงมายังโพรงมดลูก เติบโตในโพรงนี่จนครบ 9 เดือนและคลอดมาชมโลกภายนอก

ดังนั้น การตรวจภายใน จึงอาศัยการดูส่วนที่มองเห็น คือ อวัยวะเพศภายนอก ช่องคลอด และปากมดลูก และอาศัยการคลำในส่วนที่มองไม่เห็น คือ มดลูก ปีกมดลูก รวมทั้งรังไข่

เริ่มตรวจ... คุณสุภาพสตรีจะต้องนอนบนเตียงที่มีขาหยั่ง เพื่อสูติแพทย์จะดูลักษณะทั่วๆ ไป ภายนอกก่อนว่ามีผื่นแผล ติ่งเนื้อ หรือก้อนที่ผิดปกติหรือไม่ จากนั้นจะถึงขั้นตอนตรวจดูในช่องคลอด ซึ่งจำเป็นต้องสอดเครื่องมือเข้าไปในช่องคลอดเพื่อถ่างเปิดให้เห็นลักษณะภายในช่องคลอดและปากมดลูก และตรวจดูว่าตกขาวมีสี กลิ่น และปริมาณผิดปกติหรือไม่ ส่วนอวัยวะที่อยู่ลึกที่สุดเท่าที่จะเห็นได้อย่างปากมดลูกก็จะได้รับการตรวจดูว่ามีแผลอักเสบหรือมีติ่งเนื้อหรือไม่
โดยปกติ สูติแพทย์จะถือโอกาสตรวจมะเร็งปากมดลูกไปพร้อมๆกัน ซึ่งไม่ยุ่งยากและไม่เจ็บเพราะใช้เครื่องมือป้ายเอาน้ำในช่องคลอด ขูดผิวปากมดลูก และช่องภายในปากมดลูกไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 3 - 7 วัน ก็จะรู้ผล

ส่วนการตรวจอีกขั้นตอน คือ ตรวจโดยคลำผ่านทางช่องคลอด โดยแพทย์จะสอดนิ้วในช่องคลอด ส่วนอีกมือหนึ่งจะกดท้องน้อยเพื่อหาความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ที่เหลือซึ่งอยู่ภายในอุ้งเชิงกราน

ตรวจแล้วดีจริงเหรอ ?
แน่นอน 100 % ยิ่งถ้าคุณสุภาพสตรีมีอายุ 40 ปีขึ้นไป เพราะ
- ได้ตรวจหามะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาว ๆ ที่แต่งงานแล้วควรตรวจหามะเร็งทุกปี แต่ในรายที่พบว่ามีการอักเสบเรื้อรังที่ปากมดลูกหรือสงสัยว่าจะมีเซลล์ผิดปกติเกิดขึ้น และอาจพัฒนาไปสู่เซลล์มะเร็ง สูติแพทย์อาจจะต้องนัดมาตรวจทุก 3 - 6 เดือน แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะปัจจุบัน หากพบว่าคุณเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้น สูติแพทย์จะสามารถรักษาให้หายขาดได้
- เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการของโรคทางนรีเวช เช่น มีตกขาวมาก มีกลิ่นเหม็น มีเลือดออกไม่ตรงกับประจำเดือน มีเลือดประจำเดือนออกนานเกิน 7 วัน คลำได้ก้อนที่อวัยวะเพศ คลำได้ก้อนในท้องน้อย หรือมีแผลที่อวัยวะเพศ

หากสูติแพทย์ซักประวัติเราควรตอบตามจริงเพื่อช่วยในการวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น เพราะโรคบางอย่างมีอาการของโรคคล้าย ๆ กัน เช่น กรณีที่เลือดออกผิดปกติ อาจมีสาเหตุมาจากเยื่อบุมดลูกผิดปกติ เนื้องอกในมดลูก ช่องคลอดอักเสบ ปากมดลูกเป็นมะเร็ง หรือเกิดจาการท้องนอกมดลูก หรือแท้งบุตร ดังนั้นเมื่อสูติแพทย์ขอตรวจภายในก็ควรจะปฏิบัติตาม แม้ว่าจะยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน

สตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วจะไม่เจ็บเมื่อรับการตรวจ แต่สำหรับสตรีที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์จะรู้สึกตึง ๆ หรือเจ็บบ้างเล็กน้อย แต่ที่แน่ ๆ ขนาดเครื่องมือตรวจจะมีขนาดเล็กกว่าคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วแน่นอน รู้อย่างนี้หายกลัวเจ็บได้เลยค่ะ

เตรียมตัวก่อนตรวจ

1. ถ่ายอุจจาระมาก่อน สำหรับผู้ที่ท้องผูกควรกินยาระบายล่วงหน้า 2 – 3 วัน

2. ไม่ต้องโกนขน เพราะในการวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมบางโรคต้องอาศัยดูจากขนด้วย นอกจากนี้ยังทำให้เจ็บเมื่อขนขึ้นใหม่

3.ควรสวมกระโปรงเพื่อความสะดวกในการตรวจ

ที่สำคัญต้องเตรียมใจให้พร้อม คิดเสียว่าตรวจเพื่อสุขภาพ เพราะการตรวจภายในจะช่วยให้พบมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ และรับรองว่าคุณจะหายเป็นปกติแน่นอนค่ะ
read more “จำเป็นแค่ไหนที่ต้องตรวจภายใน”

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ

0 ความคิดเห็น


มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน

มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ ส่วนอันนี้เค้าฟอเวิร์ดติดมาด้วย

ถึงท่านผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิดสำหรับมะเร็งจะหายภายใน 6 วัน

วิธีรักษา - ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม ให้ดื่มจนหมดชาม
สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้ว ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ

***ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็นเงินค่ารักษา
read more “วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ”

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่คุณไม่เคยทราบ

0 ความคิดเห็น

คุณเคยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้างหรือไม่ และถ้าเคยคุณเคยทราบถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่อสุขภาพบ้างหรือไม่ ขอเวลา 5 นาทีกับบทความนี้ แล้วลองมาดูกันว่าผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์บางประเภทต่อสุขภาพที่คุณอาจเคยใช้ อยากใช้ คิดจะใช้ เป็นเช่นไรบ้าง สิทธิผู้บริโภค-รับรู้ทุกแง่มุมของสิ่งที่คิดจะรับประทาน

วิตามิน ซี ( Ascorbic acid )
- หากได้รับวิตามิน ซี ในปริมาณสูง 1-3 กรัมต่อวัน ติดต่อกันหลายวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- การได้รับวิตามินซีในปริมาณสูง เพื่อหวังเสริมภูมิต้านทานและป้องกันโรค ยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันที่ถือเป็นข้อสรุปได้ว่าทำได้จริง
- ผลการวิจัยในหลอดทดลอง พบวิตามิน ซี อาจทำให้ดีเอ็นเอ ในเซลล์เป็นอันตราย

วิตามิน อี (Tocopherols)
- ประโยชน์ของวิตามินอี ยังไม่พบแน่ชัด แต่ไม่มีพิษ หากรับประทานไม่เกิน 1000 หน่วยสากลต่อวัน
- ภาวะการขาดวิตามินอี ยังไม่พบในคนสุขภาพปกติ เพราะวิตามินอี มีมากในอาหารที่คนรับประทาน จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินอี

เสริมวิตามินเอ และ เบต้าแคโรทีน
- การบริโภควิตามินเอบางชนิดในรูปอาหารเสริม อาจทำให้ได้รับในปริมาณสูงเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดพิษในร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามข้อ ตับทำงานมากขึ้น ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดความผิดปกติ
- มีรายงานว่า การรับประทานวิตามินเอ เสริม อาจทำให้กระดูกบางลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก
-มีรายงานการวิจัยขนาดใหญ่ในฟินแลนด์พบว่า การใช้เบต้าแคโรทีน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด

ซีลีเนียม (Selenium)
- ไม่ควรรับประทานซีลีเนียม เกินกว่า 400 ไมโครกรัม/วัน อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
- ยังไม่มีข้อมูลมากพอจะบอกว่าปริมาณซีลีเนียมเท่าไรจึงจะสามารถลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปัจจุบันผู้คนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นจำนวนมาก
สังกะสี ( Zinc )
- การได้รับในปริมาณสูง (ประมาณ 25 มิลลิกรัม) สามารถขัดขวางการดูดซึมทองแดง

แคลเซียม ( Calcium )
-การได้รับในปริมาณสูง (ประมาณ 25 มิลลิกรัม) สามารถขัดขวางการดูดซึมทองแดง แคลเซียม (Calcium )
- การได้รับแคลเซียมเกินขนาด อาจทำให้คลื่นไส้ ท้องผูก เฉื่อยชา และอาจสะสมทำให้เกิดนิ่วได้
- ปริมาณสูงอาจยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสี

ซุปไก่สกัด
- มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงแค่ไข่ไก่ ครึ่งฟอง
- การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ต้มหรือตุ๋นในระยะเวลานาน ทำให้ได้รับสารก่อมะเร็งกลุ่ม เฮ็ตเตอโรไซคลิก อะโรเมติกเอมีน มากกว่าปรกติ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลายอวัยวะ

โปรตีน (Protein)
- การรับประทานอาหารโปรตีนสูง ร่างกายจะไม่ได้นำโปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อ แต่จะกำจัดออก เป็นการเพิ่มภาระให้กับตับและไตต้องทำงานหนักขึ้น
- คนที่ลดน้ำหนักโดยการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนสูง อาจเสี่ยงต่อภาวะโรคหัวใจ พื้นผักตามฤดูกาลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการ

สาหร่ายสไปรูไลน่า
- ระวังภาวะเสี่ยงที่สาหร่ายอาจปนเปื้อนสารโลหะหนักและสารพิษอื่น ๆ จากน้ำที่เพาะเลี้ยง
- มีปริมาณกรดนิวคลิอีกสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์
รังนก
- คุณค่าทางโภชนาการต่ำ แต่มีราคาสูง ได้ประโยชน์ต่อร่างกายไม่คุ้มค่าเงิน
- ไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า กินแล้วทำให้ผิวพรรณอ่อนวัย

การ์ซีเนีย (Garcinia)
ไม่มีหลักฐานการวิจัยที่ยืนยันชัดเจนว่า HCA สามารถช่วยลดน้ำหนักได้

น้ำมันปลา(Fish oil )
-ในการทดลองพบผลเสียจากการรับประทานน้ำมันปลาคือ เกิดเลือดกำเดาไหลไม่หยุด อาจทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินอีได้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อสารพิษตกค้าง เนื่องจากภาวะมลพิษทางทะเลในถิ่นที่ปลาซึ่งเป็นวัตถุดิบอาศัย
-ขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร หากจะบริโภคเพื่อการรักษาต้องรับประทานในปริมาณสูงมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อร่างกาย

อีฟนิ่ง พริมโรส (EPO)
-มีรายงานผลข้างเคียงในผู้ป่วยโรคลมชัก

เลซิทิน (Lecithin)
-คนปกติมักไม่ขาดเลซิติน การบริโภคในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเสีย
-เลซิติน จากพืชดีกว่าในสัตว์ เพราะเลซิตินจากพืชมีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว หากซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลซิตินจากแหล่งวัตถุดิบที่เป็นสัตว์อาจได้รับกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ยิ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับโคเลสเตอรอล

ใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba )
-ยังมีรายงานการวิจัยที่ขัดแย้งกันในเรื่องการรักษาผู้ป่วยสมองเสื่อม จึงยังไม่มีข้อสรุป ฤทธิ์ข้างเคียงของแปะก๊วย ในผู้ใช้บางราย คืออาการปวดศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน
-เกิดภาวะแทรกซ้อน เลือดไหลไม่หยุดในขณะผ่าตัด ในรายของผู้ป่วยที่รับประทานแปะก๊วยควบคู่ไปกับการรักษาโรคแผนปัจจุบัน
บุก
- หากรับประทานกลูโคแมนแนนชนิดเม็ด ต้องดื่มน้ำตามให้มาก ๆ มิฉะนั้นจะเกิดเจลอุดตันในทางเดินอาหาร ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้
- การรับประทานอาหารไฟเบอร์ติดต่อกันนาน ๆ ส่งผลให้เกิดภาวะการขาดสารอาหารในร่างกายได้
- ไม่มีรายงานว่าสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งในลำไส้ใหญ่

มะขามแขก (Senna)
-ในการระบายของเสีย ร่างกายจะสูญเสียน้ำออกไป ไม่ใช่ไขมัน ดังนั้นน้ำหนักที่ลดลงคือ น้ำที่หายไป หลังจากดื่มน้ำกลับเข้าไปร่างกายจะกลับมาน้ำหนักเท่าเดิม -การใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นประจำจะมีอันตรายทำให้ลำไส้บีบตัวเองไม่เป็น เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง
กระเทียมอัดเม็ด
- ผลการวิจัยในระยะหลัง พบว่า สารสกัดจากกระเทียม ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ค่อยมีผลต่อการลดระดับของโคเลสเตอรอล หรือมีก็ในระดับที่น้อยมาก เนื่องจากปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดถูกควบคุมด้วยปัจจัยมากกว่าหนึ่งปัจจัย
- เกิดกลุ่มรณรงค์ในอเมริกายื่นคำร้องให้ อย.ของสหรัฐฯ สั่งห้ามบริษัทอาหารเสริมโฆษณาสรรพคุณของกระเทียมอัดเม็ดว่า ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลได้และช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง
read more “ผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่คุณไม่เคยทราบ”

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อาหารช่วยเผาผลาญไขมัน

0 ความคิดเห็น

สารอาหารบางสิ่งที่ช่วยเผาพลาญไขมันอาจช่วยทำให้เราผอมได้ แต่บางอย่างก็ยังไม่สามารถบอกได้อย่างแท้จริงว่า มีสรรพคุณต่อร่างกายอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น

หน่อไม้ฝรั่ง กรดแอสพาราจีนในหน่อไม้ช่วยทำให้ผอมได้ แต่กรดเหล่านี้เพียงช่วยขับน้ำออกเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาพลาญไขมัน

สาหร่ายและชาสาหร่าย ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับกรดแอสพาราจีน คือขับน้ำและของเสียออกจากร่างกาย ส่วนการเผาพลาญไขมันนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า สามารถเผาพลาญได้จริงหรือไม่

พริก ในพริกมีสารรสเผ็ดร้อนที่ชื่อแคปไซซิน ช่วยเพิ่มความร้อนในร่างกาย “เพลิงร้อน” ตัวนี้สามารถช่วยเผาพลาญไขมัน ฉะนั้นถ้าใครกินเผ็ดได้ ก็เหยาะพริกป่นลงไปหน่อย หรือรับประทานพริกสดที่ซอยบางๆ ร่วมกับอาหารด้วยก็ดี

กาแฟ กาเฟอีนช่วยกระตุ้นเอ็นไซม์ซึ่งมีหน้าที่เผาพลาญไขมัน ดังนั้น เราควรจะดื่มกาแฟเป็นประจำ แต่ไม่ควรดื่มมาก แค่มื้อเช้าดื่มหนึ่งแก้ว หลังอาหารเที่ยงดื่มอีกหนึ่งแก้ว ก็พอแล้ว

ไวน์แดง หากดื่มในปริมาณน้อย สารบางอย่างในไวน์แดง ก็อาจจะช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันได้บ้าง อย่างไรก็ดีไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะไวน์แค่ครึ่งแก้วสามารถให้พลังงานได้ถึง 72 แคลอรี่

ชาเขียว จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยไฟร์บวร์ก ประเทศเยอรมนี ยืนยันว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจำในปริมาณวันละสี่แก้ว สามารถช่วยกระตุ้นการเผาพลาญไขมันได้ และดีต่อสุขภาพอีกด้วย

ข้อมูลจาก สำนักข่าวไทยอ.ส.ม.ท.
read more “อาหารช่วยเผาผลาญไขมัน”

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เขาว่าในข้าวกล้องมีสารก่อมะเร็งจริงหรือ ?

0 ความคิดเห็น
เขาว่าในข้าวกล้องมีสารก่อมะเร็งจริงหรือ ?

แพทย์หญิง กนกวรรณ พรประสิทธิ์
ในท่ามกลางกระแสการรณรงค์ให้รับประทานข้าวกล้องเพื่อสุขภาพนั้น คำถามประโยคนี้คงจะไปสะดุดหูสะดุดใจอย่างแรงสำหรับนักมังสวิรัติ
หรือนักชีวจิต ผู้ยึดการบริโภคข้าวกล้องเป็นสรณะ ข้าวกล้องมีสารก่อมะเร็งจริงหรือ?

ตอบอย่างง่ายๆ ก็คือ จริงค่ะ แต่ถ้าตอบอย่างยากๆก็ต้องอธิบายกันยาวเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อนๆ ที่รับประทานข้าวกล้องอยู่แล้วคงจะสังเกตว่า ข้าวกล้องที่อยู่ในจานบางเม็ดมีสีน้ำตาลเข้มหรือดำแต้มอยู่มาก หรือเกือบทั้งเม็ด ตรงส่วนนี้แหละค่ะนักวิทยาศาสตร์ไทยได้สังเกตเช่นกัน และได้ลองนำไปเพาะเชื้อดู ปรากฏว่าเป็นเชื้อราแอสเปอร์จิรัส ซึ่งเป็นเชื้อราที่สร้างสารอะฟลาท็อกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตับ (ที่เคยทำให้เราตกใจมาแล้วกับเรื่องถั่วลิสง)

คำถามต่อมาคือ อย่างงี้รับประทานข้าวกล้องก็ไม่ดีนะสิ ?
รับประทานข้าวกล้องนั้นดีแน่ค่ะ มีประโยชน์กว่าข้าวขาวหลายเท่า ทราบมั้ยคะว่าเจ้าเชื้อรานี้ขึ้นเฉพาะในข้าวกล้องไม่ขึ้นในข้าวขาว ก็เพราะข้าวกล้องมีเยื่อบางๆ ที่หุ้มอยู่ซึ่งเยื่อบางๆ นี้แหละที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ต่อพวกเชื้อรา ซึ่งในข้าวขาวจะถูกขัดสีออกไปหมดแล้ว เชื้อราจึงไม่ขึ้น เห็นความฉลาดของเจ้าเชื้อรามั้ยคะ
แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะปลอดภัย ?
คำตอบคือ

1.ให้เลือกซื้อข้าวกล้องที่ขัดสีใหม่ๆ แต่คงไม่ต้องถึงกับสีข้าวหรือตำข้าวรับประทานเองหรอกนะคะ

2.ให้คัดเลือกเม็ดข้าวที่เสีย เม็ดลีบ เม็ดไม่สมบูรณ์ เม็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มออกก่อนซาวข้าวหรือหุงข้าว

3.อย่าเก็บข้าวกล้องไว้ในที่ชื้น เพราะจะทำให้ราขึ้นง่าย

เท่านี้แหละค่ะไม่ยากเลย หวังว่าคงไม่ทำให้เพื่อนๆ หมดอารมณ์ หรือ แหยงในการรับประทานข้าวกล้องไปหรอกนะคะ เพราะข้าวกล้องนั้นมีประโยชน์มากมายแน่ๆ

ถ้าเรารู้ข้อดี ข้อเสียของมัน และกำจัดข้อเสียออก เก็บข้อดีไว้ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับมะเร็งค่ะ

แหล่งข้อมูล: Forword Mail
read more “เขาว่าในข้าวกล้องมีสารก่อมะเร็งจริงหรือ ?”

คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต

0 ความคิดเห็น


หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเรงจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหาร


อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
read more “คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต”
 

Followers

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
กรุงเทพฯ, Thailand
ปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ KU58, ปริญญาโท บริหารธุรกิจ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 2548

เคล็ดลับสาวพันปีกับอาหารเพื่อสุขภาพ Copyright 2009 Shoppaholic Designed by Ipietoon Image by Tadpole's Notez